การประดิษฐ์หมวกกันรังสีจากเสื้อตะกั่วชำรุด
คำสำคัญ:
เนื้องอกในสมอง, แพทย์โรคหัวใจ, ปริมาณรังสี, หมวกตะกั่วกันรังสีบทคัดย่อ
ภูมิหลัง: งานทางด้านรังสีวิทยาจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันรังสีเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้สวมป้องกันรังสีเช่นเสื้อตะกั่วแต่มื่อเสื้อตะกั่วเหล่านี้ชำรุดไม่สามารถใช้งานได้ทำให้เกิดปัญหาขยะ จากการสืบค้นบทความวิชาการพบว่าอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวด(interventional cardiologist) ซึ่งใช้เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือด (digital subtraction angiography) ในการตรวจรักษามีเปอร์เซ็นต์เกิดเนื้องอกในสมองเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะบริเวณสมองด้านซ้ายสถาบันประสาทวิทยา กลุ่มงานรังสีวิทยา มีเสื้อตะกั่วที่ชำรุดไม่ได้ใช้จึงนำกลับมาประดิษฐ์เป็นหมวกกันรังสี เพื่อใช้ในงานตรวจวินิจฉัยหลอดเลือดและงานรังสีร่วมรักษาด้วยเครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดสองระนาบ วัตถุประสงค์: 1) เพื่อประดิษฐ์หมวกตะกั่วกันรังสี 2) เพื่อป้องกันรังสีบริเวณศีรษะแก่แพทย์ผู้ทำการตรวจและบุคลากรทางการแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน 3) เพื่อเป็นต้นแบบให้กับผู้สนใจนำเสื้อตะกั่วที่ไม่ใช้หรือชำรุดมาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์ป้องกันรังสี วิธีการ: นำเสื้อตะกั่วที่ไม่ได้ใช้หรือชำรุดที่มีค่าสมมูลตะกั่ว 0.5 มิลลิเมตรตรวจสอบหาตำแหน่งที่ไม่ชำรุดเพื่อนำมาประดิษฐ์เป็นหมวกกันรังสีตามแบบที่ผู้วิจัยออกแบบไว้และตัดเย็บเป็นหมวก นำหมวกที่ตัดเย็บเสร็จแล้วมาททำการทดสอบไม่มีรอยรั่วของรังสีและทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี โดยใช้อุปกรณ์จำลองสวมหมวกกันรังสี ติดอุปกรณ์แผ่นวัดปริมาณรังสี (Optically Stimulated Luminescence; OSL) ชนิด nanoDot ด้านนอกและด้านในของหมวกกันรังสีที่ตำแหน่งเดียวกัน ทำการฉายรังสีเอกซ์พร้อมกันด้วยเครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดสองระนาบ ผล: เมื่อทำการวัดปริมาณรังสี นอกหมวกเปรียบเทียบกับในหมวกกันรังสี พบว่าสามารถลดทอนรังสีได้มากกว่าร้อยละ 94 และพบว่าปริมาณรังสีนอกหมวกและในหมวกกันรังสีทุกตำแหน่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .001) สรุป: หมวกกันรังสีที่ประดิษฐ์สามารถป้องกันรังสีได้ดี ลดโอกาสที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดเนื้องอกในสมองเสื้อตะกั่วที่ไม่ใช้หรือชำรุดสามารถนำกลับมาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์ป้องกันรังสีได้
เอกสารอ้างอิง
Meemag W. Invention of radiation protection equipment in thedepartment of radiology. Nakhon Ratch Med Bull 2006; 30:S81-6.
Finkelstein MM. Is brain cancer an occupational disease ofcardiologists? Can J Cardiol 1998; 14:1385-8.
Barker DG. How signifcant are the risks from occupationalexposure to ionizing radiation?. Appl Radiol 1989; 18:19-21.
Kirkwood ML, Arbique GM, Guild JB, Zeng K, Xi Y, Rectenwald J,et al. Radiation brain dose to vascular surgeons duringfluoroscopically guided interventions is not effectively reducedby wearing lead equivalent surgical caps. J Vasc Surg 2018;68:567-71.
Roguin A ,Goldstien J, Bar O. Brain tumors among interventionalcardiologist: a cause for alarm? Report of four new cases fromtwo cities and review of the literature. EuroIntrevention. 2012;7:1081-6.
Roguin A, Goldstein J, Bar O, Goldstein JA. Brain and neck tumorsamong physicians performing interventional procedures. Am JCardiol 2013; 111:1368-72.
Mayr NP, Wiesner G, Kretschmer A, Bronner J, Hoedlmoser H,Husser O, et al. Assessment the level of radiation experiencedby anesthesiologists during transfemoral Transcatheter AorticValve Implantation and protection by a lead cap. PLoS One.2019; 14.
Kuon E, Birkel J, Schmitt M, Dahm JB. Radiation exposure beneftof a lead cap in invasive cardiology. Heart 2003; 89:1205-10.
Alazzoni A, Gordon CL, Syed J, Natarajan MK, Rokoss M, Schwalm JD,et.al. Randomized controlled trial of radiation protection witha patient lead shield and a novel, nonlead surgical cap foroperators performing coronary angiography or intervention. CircCardiovasc Interv 2015; 8.
Poosiri S, Thongseenuch S, Saisom S, Chanmanee N. Theinvention of natural rubber mixed with high loading bismuthfor radiation protection in diagnostic radiology. Thai J Rad Tech2019; 448-14.
Reeves RR, Ang L, Bahadorani J, Naghi J, Dominguez A,Palakodeti V, et al. Invasive cardiologists are exposed to greaterleft sided cranial radiation: The brain study (Brain radiationexposure and attenuation during invasive cardiologyprocedures). JACC Cardiovasc Interv 2015; 8:1197-1206.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความ ไม่ใช่ความเห็นของกองบรรณาธิการหรือของวารสารกรมการแพทย์
