ประสิทธิผลของการใช้เครือข่ายทางสังคมในการติดตามผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ที่ขาดนัดการรักษา ณ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
คำสำคัญ:
สังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์, ปากแหว่งเพดานโหว่, เครือข่ายทางสังคม, การติดตามผู้ป่วยบทคัดย่อ
ภูมิหลัง: ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่เป็นความผิดปกติหรือความพิการของใบหน้า ริมฝีปาก ฐานจมูกและเพดานปาก ส่งผลกระทบต่อเด็กทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ยังส่งผลต่อผู้ดูแลและครอบครัวอีกด้วย เช่น ผู้ปกครองต้องหยุดงานบ่อยครั้ง มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งเป็นผลจากขั้นตอนการรักษาที่ต้องใช้เวลาในการรักษา จึงมีโอกาสสูญหายระหว่างการรักษาได้ง่าย นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการติดตามผู้ป่วยที่ขาดนัดการรักษา แต่ติดตามได้เพียง 55 ราย จากจำนวน 310 ราย ที่เหลือ 255 ราย ไม่สามารถติดตามได้ จึงได้นำแนวคิดเครือข่ายทางสังคมมาเป็นเครื่องมือในการติดตามผู้ป่วยที่ขาดนัดการรักษามากกว่า 1 ปี วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้เครือข่ายทางสังคมในการติดตามผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ที่ขาดนัดการรักษามากกว่า 1 ปีของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี วิธีการ: การศึกษาภาคตัดขวางด้วยแบบบันทึกผลการใช้เครือข่ายทางสังคมชนิดต่าง ๆ ในการติดตามผู้ป่วยเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ที่ขาดนัดการรักษามากกว่า 1 ปี ของกลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี จำนวน 255 ราย ผล: พบว่าเครือข่ายภาครัฐด้านสุขภาพในระดับปฐมภูมิติดตามผู้ป่วยได้สำเร็จมากที่สุด ร้อยละ 95.7 สำหรับเครือข่ายภาคประชาชนด้านสุขภาพติดตามสำเร็จมากที่สุด ร้อยละ 65.7 สรุป: ประสิทธิผลของเครือข่ายทางสังคมทั้งเครือข่ายภาครัฐด้านสุขภาพและเครือข่ายทางสังคมภาคประชาชนด้านสุขภาพและเครือข่ายด้านการปกครองสามารถติดตามผู้ป่วยให้เข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างน้อยร้อยละ 80
เอกสารอ้างอิง
Mink van der Molen AB, van Breugel JMM, Janssen NG, Admiraal RJC, van Adrichem LNA, Bierenbroodspot F, et al. Clinical practice guidelines on the treatment of patients with cleft lip, alveolus, and palate: an executive summary. J Clin Med 2021;10(21):4813.
Chowchuen B, Phrathani B, Rattanayatikul J. Interdisciplinary care of cleft lip, cleft palate and congenital facial and craniofacial anomalies. Khon Kaen: Siriphand Printing offset; 2004. p.25-45.
Ascha M, McDaniel J, Link I, Rowe D, Soltanian H, Sattar A, et al. Social and Support Services Offered by Cleft and Craniofacial Teams: A National Survey and Institutional Experience. J Craniofac Surg 2016;27(2):356-60.
Pongsaengpan P, Pinkaew A. Social support and networks for the elderly in community. PHJBUU 2015;10(2):109-16.
Pakkasang Y, Sroyhin W, Numjaitaharn S, Rod-ong D, Chonprai C, Samretdee H, et al. Improvement quality of life in patients with cleft lip and palate by home visit program. SRIMEDJ 2021;36(2):166-70.
Heaney CA, Isael BA. Social network and social support. In: Health behavior and health education: theory, research, and practice. 4th ed. New Jersey: Jossey-Bass; 2008. p.189-210.
Kaye A, Lybrand S. The cleft team social worker. Social Work Health Care 2016;55(4):280-95.
Turkat D. Social networks: Theory and practice. J Community Psychol 1980;8(2):99-109.
Kadushin C. Understanding social networks: Theories, concepts and findings. New York: Oxford University Press; 2012. p.3-252.
Kaewnopparat S. The effect of social support from social network on the stress of the autism parints at Child Mental Health Center [Dissertation]. Bangkok: Thammasat University; 2541. p.7-77
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความ ไม่ใช่ความเห็นของกองบรรณาธิการหรือของวารสารกรมการแพทย์