ผลของการใช้กระบวนการกลุ่มต่อพฤติกรรมการควบคุมโรคด้วยตนเอง และระดับนํ้าตาลสะสม ในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย

ผู้แต่ง

  • วัชรพงษ์ คำหล้า โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กระบวนการกลุ่มต่อพฤติกรรมการควบคุมโรค
ด้วยตนเองและระดับนํ้าตาลสะสมในเลือด โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการดูแลตนเอง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
และกระบวนการกลุ่ม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า
จำนวน 80 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก แบ่งเป็น
กลุ่มทดลอง 40 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบ 40 ราย เครื่องมือทดลองเป็นชุดกิจกรรมกระบวนการกลุ่มแลกเปลี่ยน
เรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม ประกอบด้วย การให้ความรู้ และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการดูแลตนเองในเรื่องการ
รับประทานอาหาร การออกกำลังกายที่เหมาะสม การดูแลเท้า และการใช้ยาเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม
พฤติกรรมการดูแลตนเอง โดยค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ด้านการประเมินความรู้ นำไปหาความเชื่อมั่นด้วย
วิธีคูดอร์-ริชาร์ดสัน เท่ากับ 0.97 และด้านพฤติกรรมซึ่งเป็นคำตอบแบบ Likert Scale นำไปหาค่าความเชื่อมั่น
โดยวิธี Cronbach’s Alpha ได้ค่าเท่ากับ 0.71 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired t-test และ Independent
t-test ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยรวมดีขึ้น
กว่าก่อนการทดลอง และดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) และพบว่าภายหลังจาก
การทดลอง กลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมด้านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การดูแล
เท้า และการใช้ยา ดีกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ค่าเฉลี่ยระดับนํ้าตาลสะสม
ในเลือดของกลุ่มทดลองหลังจากการทดลอง ลดลงกว่าก่อนการทดลองและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติ (p<0.001) จากผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการจัดกระบวนการกลุ่มแบบกิจกรรมกลุ่มแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ สามารถนำไปใช้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการควบคุมโรคเบาหวานด้วยตนเองที่ถูกต้องเหมาะสมให้แก่ผู้ป่วย
เบาหวานต่อไป รวมถึงการนำไปปรับใช้ในกลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ ได้

เอกสารอ้างอิง

1. ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับ
โรคเบาหวาน 2557. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด อรุณการพิมพ์; 2557.
2. สำนักโรคไม่ติดต่อ. เอกสารรายงานสถิติโรคปี 2557. สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวง
สาธารณสุข. นนทบุรี: 2557.
3. Black JM, Matassarin-Jacobs. et al. A Psycological approach. 4th ed. Philadelphia: W.B.
Saubders; 1993.
4. Pickup JC, Willium G. Text book of Diabetes. 2nd ed. London: Blackwell Science Editorial
Off i ce; 1997.
5. เทพ หิมะทองคำ, วัลลา ตันตโยทัย, พงศ์อมร บุญนาค และคณะ. ทบทวนองค์ความรู้เกี่ยวกับเบาหวาน
และนํ้าตาลในเลือดสูง: กระทรวงสาธารณสุขและมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ; 2547.
6. Nathan DM, Kuenen J, Zheng H, et al. Translating the A1C assay intoestimated average glucose
value. Diabetes Care 2008. 2008;31(8):1473-8.
7. กล่มงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย. เอกสารสรุปผลการดำเนินการโรคเบาหวาน
ปีงบประมาณ 2556. เชียงราย: 2556.
8. กลุ่มงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย. เอกสารสรุปผลการดำเนินการโรคเบาหวาน
ปีงบประมาณ 2557. เชียงราย: 2557.
9. กลุ่มงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า เชียงราย. เอกสารสรุปผลการดำเนินงานโรคเบาหวาน
ปีงบประมาณ 2558. เชียงราย: 2558.
10. เทพ หิมะทองคำ และคณะ. ความรู้เรื่องเบาหวานฉบับสมบูรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: วิทยาพัฒน์
การพิมพ์; 2548.
11. ฉวีวรรณ บุญสุยา. สถิติสำหรับงานวิจัยสาธารณสุข. กรุงเทพฯ: เสนาการพิมพ์; 2551.
12. กัลยา วานิชย์บัญชา. การใช้ SPSS for WINDOWS ในการวิเคราะห์ข้อมูล. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพฯ:
บริษัทธรรมสารจำกัด; 2551.
13. วิมลรัตน์ จงเจริญ, วันดี คหะวงศ์ และคณะ. รูปแบบการส่งเสริมการดูแลตนเองเพื่อควบคุมระดับนํ้าตาล
ในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2. สงขลานครินทร์เวชสาร. 2551;6(1):71-84.
14. ศุภวดี ลิมปพานนท์. ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วย
เบาหวาน โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี [วิทยานิพนธ์]. นครปฐม: มหาวิทยาลัย
มหิดล; 2537.
15. วิชัย ฟักผลงาม และคณะ. ผลการให้สุขศึกษาและการปรับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน
โรงพยาบาลรามาธิบดี. รายงานการวิจัยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
2535.
16. สมพร สาดแสงธรรม. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะนํ้าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
ในคลินิกผู้ป่วยเบาหวาน โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา [วิทยานิพนธ์]. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์; 2548.
17. ศุลีพันธ์ มาแสวง. ประสิทธิผลโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพและสุขศึกษาในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและควบคุม
ระดับนํ้าตาลในเลือดของสตรีวัยทองที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน จังหวัด
ร้อยเอ็ด [วิทยานิพนธ์]. นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหิดล; 2554.
18. ชดช้อย วัฒนะ. ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองเกี่ยวกับโรคเบาหวานต่อความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน
การควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือด ภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด และคุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็น
โรคเบาหวาน [วิทยานิพนธ์]. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2549.
19.วจี ภักดีดินแดน. ศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับนํ้าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ไม่พึ่งอินซูลิน
ภายหลังเข้าร่วมการใช้กระบวนการกลุ่ม. วารสารวิชาการเขต 4. 2551;10(2):283.
20. เจษฎา จงไพบูลย์พัฒนะ. การประเมินประสิทธิผลของการใช้กระบวนการกลุ่มในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
ของโรงพยาบาลสตูล. วารสารวิชาการเขต 12. 2556;14(2):45-50.
21. อนันต์ ซินดือเระ. ผลของการให้สุขศึกษาเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือด
ในผู้ป่วยเบาหวาน อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี. วารสารวิชาการเขต 12. 2551;19(1):33.

เผยแพร่แล้ว

2017-03-31

รูปแบบการอ้างอิง

คำหล้า ว. (2017). ผลของการใช้กระบวนการกลุ่มต่อพฤติกรรมการควบคุมโรคด้วยตนเอง และระดับนํ้าตาลสะสม ในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย. วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จังหวัดนครราชสีมา, 23(1), 5–17. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ODPC9/article/view/189018

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ