อุปกรณ์แถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานจากยางยืดออกกำลังกาย และผ้าขวางปูเตียง
คำสำคัญ:
แถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานสำเร็จรูป, ยางยืดออกกำลังกาย, ผ้าขวางปูเตียงบทคัดย่อ
บทนำ การบาดเจ็บต่อกระดูกเชิงกรานเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในการบาดเจ็บแบบกระทบกระแทกการ บาดเจ็บชนิดนี้ส่งผลให้เลือดออกภายในอุ้งเชิงกรานปริมาณมาก โดยเฉพาะกรณีกระดูกเชิงกรานหักชนิด ไม่คงที่อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว การรักษาเบื้องต้นทำได้โดยใช้อุปกรณ์รัดตรึงกระดูกเชิงกราน (pelvic binder) เพื่อช่วยจำกัดปริมาตรภายในอุ้งเชิงกรานและชะลอการเสียเลือด
วัตถุประสงค์ เพื่อประดิษฐ์อุปกรณ์รัดตรึงเชิงกรานด้วยยางยืดต้านแรงสำหรับออกกำลังกายและผ้าขวางปูเตียงที่มีแรงตึง และระยะเวลาในการติดตั้งอุปกรณ์เทียบเท่ากับแถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานสำเร็จรูป
วิธีการดำเนินการวิจัย เป็นโครงการวิจัยเพื่อประดิษฐ์แถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานจากยางยืดออกกำลังกายและผ้าขวาง ปูเตียง ช่วงเวลาดำเนินการวิจัยตั้งแต่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 - 30 กันยายน พ.ศ. 2564อาสาสมัคร เป็นแพทย์ประจำบ้านกองอุบัติเหตุและเวชกรรมฉุกเฉิน โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า การวิจัยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1) ให้อาสาสมัครดึงยางยืดออกกำลังกายด้วยแรง 150 นิวตัน ทำเพื่อหาระยะยืดของ ยางยืดออกกำลังกายและผู้วิจัยนำมาประดิษฐ์แถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานจากยางยืดออกกำลังกาย ขั้นตอน ที่ 2) นำอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมาใช้กับผู้ป่วยจำลอง เพื่อเปรียบเทียบเวลาในการใช้อุปกรณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้น กับ แถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานสำเร็จรูป สถิติที่ใช้คือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้ T-test ในการ เปรียบเทียบระยะเวลาในการใช้อุปกรณ์
ผลการวิจัย อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 24 คน เมื่อให้อาสาสมัครออกแรงดึงยางยืดเพื่อให้ได้แรงที่ 150 นิวตัน พบว่าระยะของยางยืดออกกำลังกายยืดออกอยู่ที่ 12.22 0.04 เซนติเมตร และเมื่อนำมาใช้ ยึดตรึงกระดูกเชิงกรานในผู้ป่วยจำลองระยะเวลาในการใช้อุปกรณ์ยางยืดออกกำลังกาย ใช้เวลาในการปฏิบัติ เฉลี่ย 68.21 วินาที เปรียบเทียบ กับการใช้แถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานแบบสำเร็จรูป ใช้เวลาอยู่ที่ 68.61 วินาที (P-value 0.290)
สรุปผลการศึกษา การรัดตรึงกระดูกเชิงกรานของผู้ป่วยจำลองด้วยอุปกรณ์แถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานด้วยยางยืด ออกกำลังกายสามารถให้แรงรัดและใช้เวลาในการปฏิบัติใกล้เคียงกับแถบรัดตรึงกระดูกเชิงกรานสำเร็จรูป
เอกสารอ้างอิง
Moreno C, Moore EE, Rosenberger A, Cleveland HC. Hemorrhage associated with major pelvic fracture: a multispecialty challenge. J Trauma 1986;26(11):987-94. doi: 10.1097/00005373-198611000-00005.
Bakhshayesh P, Boutefnouchet T, Tötterman A. Effectiveness of non invasive external pelvic compression: a systematic review of the literature. Scand J Trauma Resusc Emerg Med 2016;24:73. doi: 10.1186/s13049-016-0259-7.
Simpson T, Krieg JC, Heuer F, Bottlang M. Stabilization of pelvic ring disruptions with a circumferential sheet. J Trauma 2002 ;52(1):158-61. doi: 10.1097/00005373-200201000-00027.
Zingg T, Piaget-Rossel R, Steppacher J, Carron PN, Dami F, Borens O, et al. Prehospital use of pelvic circumferential compression devices in a physician-based emergency medical service: A 6-year retrospective cohort study. Sci Rep 2020;10(1):5106. doi: 10.1038/s41598-020-62027-6.
Pap R, McKeown R, Lockwood C, Stephenson M, Simpson P. Pelvic circumferential compression devices for prehospital management of suspected pelvic fractures: a rapid review and evidence summary for quality indicator evaluation. Scand J Trauma Resusc Emerg Med 2020;28(1):65. doi: 10.1186/s13049-020-00762-5.
Giannoudis PV, Grotz MR, Tzioupis C, Dinopoulos H, Wells GE, Bouamra O, Lecky F. Prevalence of pelvic fractures, associated injuries, and mortality: the United Kingdom perspective. J Trauma 2007;63(4): 875-83. doi: 10.1097/01.ta.0000242259.67486.15.
Vallamshetla VRP, Silva UD, Bache CE, Gibbons PJ. Flexible intramedullary nails for unstable fractures of the tibia in children. An eight-year experience. J Bone Joint Surg Br 2006;88(4):536-40. doi: 10.1302/0301-620X.88B4.17363.
Hsu SD, Chen CJ, Chou YC, Wang SH, Chan DC. Effect of early pelvic binder use in the emergency management of suspected pelvic trauma: a retrospective cohort study. Int J Environ Res Public Health 2017; 14(10):1217. doi: 10.3390/ijerph14101217.
Fu CY, Wu YT, Liao CH, Kang SC, Wang SY, Hsu YP, et al. Pelvic circumferential compression devices benefit patients with pelvic fractures who need transfers. Am J Emerg Med 2013;31(10):1432-6. doi: 10.1016/j.ajem.2013.06.044.
Reiter A, Strahl A, Kothe S, Pleizier M, Frosch KH, Mader K, et al. Does a prehospital applied pelvic binder improve patient survival? Injury 2024;55(4):111392. doi: 10.1016/j.injury.2024.111392.
Knops SP, Schep NW, Spoor CW, van Riel MP, Spanjersberg WR, Kleinrensink GJ, et al. Comparison of three different pelvic circumferential compression devices: a biomechanical cadaver study. J Bone Joint Surg Am 2011;93(3):230-40. doi: 10.2106/JBJS.J.00084.
Naseem H, Nesbitt PD, Sprott DC, Clayson A. An assessment of pelvic binder placement at a UK major trauma centre. Ann R Coll Surg Engl 2018;100(2):101-5. doi: 10.1308/rcsann.2017.0159.
Khaliq F, Rodham P. EMS Pelvic Binders. 2024 Jan 1. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2024 Jan. [cited 8 august 2024.] Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK598968/
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
หมวดหมู่
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ถือเป็นเป็นลิขสิทธิ์ของ วิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
กรณีที่บทความได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทยแล้ว จะตีพิมพ์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีสำเนาการพิมพ์ภายหลังหนังสือเผยแพร่เรียบร้อยแล้ว ผู้นิพนธ์ไม่สามารถนำบทความดังกล่าวไปนำเสนอหรือตีพิมพ์ในรูปแบบใดๆ ที่อื่นได้ หากมิได้รับคำอนุญาตจากวารสารเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
