ผลของการบำบัดด้วยการครอบแก้วแบบแห้งต่ออาการปวดกล้ามเนื้อและมุมการเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ ของบุคลากรมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชลบุรี
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการบำบัดด้วยการครอบแก้วแบบแห้งที่มีต่ออาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและมุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ ของบุคลากรมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชลบุรี เพศชายและหญิง อายุระหว่าง 20 – 59 ปี จำนวน 42 คน โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ทำการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง (Sample Size) จาก G*Power โดยกำหนดค่า Effect size = 0.8 ค่านัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และค่าอำนาจในการทดสอบ 0.8 และกำหนดสมมติฐานทางเดียวได้ขนาดตัวอย่างหรือจำนวนซ้ำที่เหมาะสมสำหรับการทดลองนี้ เท่ากับ 21 คนต่อกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมการบำบัดด้วยการครอบแก้วแบบแห้งต่ออาการปวดกล้ามเนื้อและมุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ เครื่องมือวัดความยืดหยุ่นนของกล้ามเนื้อ คือ ไม้บรรทัดวัดองศาโกนิโอมิเตอร์ (Goniometer) และแบบประเมินอาการปวดกล้ามเนื้อจากการวัดชนิดเส้นตรง (Visual Analog Scale : VAS) วิเคราะห์ข้อมูล
โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของตัวแปรภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม ก่อนและหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 โดยการทดสอบค่าทีแบบอิสระ (Independent t-test) ที่ระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบภายในกลุ่มแต่ละกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทำกิจกรรมตามชีวิตประจำวันปกติมีค่าความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อลดลงและมีอาการปวดกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ส่วนในกลุ่มที่ทำครอบแก้วแบบแห้งค่าความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นและมีอาการปวดกล้ามเนื้อลดลงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มของกลุ่มทำกิจกรรมตามชีวิตประจำวันปกติ และการทำครอบแก้วแบบแห้ง หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
สรุปผลการวิจัย ได้ว่าการครอบแก้วแบบแห้งเป็นทางเลือกหนึ่งในการช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและเพิ่มมุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ในผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ได้อย่างดี
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
เอกสารอ้างอิง
Al-Bedah, A. M., Elsubai, I. S., Qureshi, N. A., Aboushanab, T. S., Ali, G. I., El-Olemy, A. T., Khalil, A. A., Khalil, M. K., & Alqaed, M. S. (2019). The medical perspective of cupping therapy: Effects and mechanisms of action. Journal of traditional and complementary medicine, 9(2), 90-97.
Benjamin, E. J., Chen, P.-S., Bild, D. E., Mascette, A. M., Albert, C. M., Alonso, A., Calkins, H., Connolly, S. J., Curtis, A. B., & Darbar, D. (2009). Prevention of atrial fibrillation: Report from a national heart, lung, and blood institute workshop. Circulation, 119(4), 606-618.
Guimberteau, J., Delage, J., McGrouther, D., & Wong, J. (2010). The microvacuolar system: how connective tissue sliding works. Journal of Hand Surgery (European Volume), 35(8), 614-622.
Kim, J.-E., Cho, J.-E., Do, K.-S., Lim, S.-Y., Kim, H.-J., & Yim, J.-E. (2017). Effect of cupping therapy on range of motion, pain threshold, and muscle activity of the hamstring muscle compared to passive stretching. Journal of The Korean Society of Physical Medicine, 12(3), 23-32.
Malliaropoulos, N., Papalexandris, S., Papalada, A., & Papacostas, E. (2004). The role of stretching in rehabilitation of hamstring injuries: 80 athletes follow-up. Medicine & science in sports & exercise, 36(5), 756-759.
Markowski, A., Sanford, S., Pikowski, J., Fauvell, D., Cimino, D., & Caplan, S. (2014). A pilot study analyzing the effects of Chinese cupping as an adjunct treatment for patients with subacute low back pain on relieving pain, improving range of motion, and improving function. The Journal of Alternative and Complementary Medicine, 20(2), 113-117.
Mehta, P., & Dhapte, V. (2015). Cupping therapy: A prudent remedy for a plethora of medical ailments. Journal of traditional and complementary medicine, 5(3), 127-134.
National Statistical Office Ministry of Digital Economy and Society. (2017). The 2017 Household Survey on the Use of Information and Communication Technology. Retrieved from https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2023/20230430123849_49133.pdf
Paitoon Benjapornlert. (2023). Office Syndrome: A Scary Disease for Working People. Retrieved from https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/ออฟฟิศซินโดรม-โรคน่ากลัว
Rozenfeld, E., & Kalichman, L. (2016). New is the well-forgotten old: The use of dry cupping in musculoskeletal medicine. Journal of bodywork and movement therapies, 20(1), 173-178.
Ryan R, & Hill, S. (2016). How to GRADE the quality of the evidence. Cochrane Consumers and Communication Group. Retrieved from http://cccrg.cochrane.org/author-resources
Stephens, S. L., Selkow, N. M., & Hoffman, N. L. (2020). Dry cupping therapy for improving nonspecific neck pain and subcutaneous hemodynamics. Journal of athletic training, 55(7), 682-690.
Tamers, S. L., Chosewood, L. C., Childress, A., Hudson, H., Nigam, J., & Chang, C.-C. (2019). Total Worker Health® 2014–2018: the novel approach to worker safety, health, and well-being evolves. International journal of environmental research and public health, 16(3).
Tham, L., Lee, H., & Lu, C. (2006). Cupping: From a biomechanical perspective. Journal of biomechanics, 39(12), 2183-2193.
Wood, S., Fryer, G., Tan, L. L. F., & Cleary, C. (2020). Dry cupping for musculoskeletal pain and range of motion: A systematic review and meta-analysis. Journal of bodywork and movement therapies, 24(4), 503–518.
