ผลของกลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาต่อการกำเริบของโรค ในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

ผู้แต่ง

  • พรสรวง วงศ์สวัสดิ์ นักศึกษาปริญญาโท คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • จินดารัตน์ ชัยอาจ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • นิตยา ภิญโญคำ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คำสำคัญ:

ความร่วมมือในการรักษา, กลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา, การกำเริบของโรค โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

บทคัดย่อ

ผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำเป็นต้องให้ความร่วมมือในการรักษาของแพทย์ เพื่อสามารถควบคุมและลดการกำเริบของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาต่อการกำเริบของโรคในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มารับการรักษาที่คลินิกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและคลินิกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 64 ราย ตั้งแต่เดือนมีนาคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง โดยวิธีการจับคู่ แบ่งออกเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 32 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบรวบรวมข้อมูลทั่วไป 2) แบบสัมภาษณ์ความร่วมมือในการรักษาในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 3) แผนกลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 4) คู่มือความรู้ 5) สมุดบันทึกการติดตามการให้ความร่วมมือในการรักษาของผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และ 6) สมุดบันทึกการให้ความร่วมมือในการรักษาสำหรับผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบแมน-วิทนีย์ (Mann-Whitney U-test)

ผลการวิจัยพบว่า

          จำนวนครั้งเฉลี่ยของการกำเริบของโรคในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง กลุ่มที่ได้รับกลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)

ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้กลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา ช่วยลดความถี่ของการกำเริบของโรคในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สามารถนำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลในผู้ที่เป็นโรคนี้ต่อไป

ผลการวิจัยพบว่า

          จำนวนครั้งเฉลี่ยของการกำเริบของโรคในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง กลุ่มที่ได้รับกลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)

ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้กลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา ช่วยลดความถี่ของการกำเริบของโรคในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สามารถนำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลในผู้ที่เป็นโรคนี้ต่อไป

 

เอกสารอ้างอิง

คณะทำงานพัฒนาแนวปฏิบัติสาธารณสุขโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง. (2553). แนวปฏิบัติสาธารณสุขโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง พ.ศ. 2553. กรุงเทพฯ: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.
นรรัตน์ สมเพชร, ชิดชนก เรือนก้อน, และ อัญชลี เพิ่มสุวรรณ. (2550). ผลการเตือนทางโทรศัพท์ต่อความ
ร่วมมือในการใช้ยาลดความดันโลหิตของผู้ป่วยนอก. สงขลานครินทร์เวชสาร, 25(2), 89-97.
มนัส พงศ์ชัยเดชา, อุไรวรรณ ตระการกิจวิชิต, และ กิตติ พิทักษ์นิตินันท์. (2549). ผลของการให้คำปรึกษา
ด้านยาแก่ผู้ป่วยในต่อความร่วมมือในการใช้ยาตามสั่งของผู้ป่วยโรคหืดและหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง. Retrieved from http://www.thaihp.org/index.php?option=other_detail &lang=th&id=37&sub=26
ดวงใจ สุวรรณพงศ์. (2552). ผลของการพยาบาลตามทฤษฎีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายต่อพฤติกรรม
การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง. พยาบาลสาร, 36(3), 114-124.
โรงพยาบาลท่าศาลา. (2555). แบบรายงานข้อมูลสถานะสุขภาพประจำปี 2555. นครศรีธรรมราช:
โรงพยาบาลท่าศาลา.
Arnold, E., Bruton, A., & Ellis-Hill, C. (2006). Adherence to pulmonary rehabilitation: A qualitative study. Respiratory Medicine, 100(10), 1716-1723. doi:10.1016/j.rmed.2006.02.007
Bourbeau, J., & Bartlett, S. J. (2008). Patient adherence in COPD. Thorax, 63(9), 831-838. doi:10.1136/thx.2007.086041
Brunton, A. S. (2011). Improving medication adherence in chronic disease management. Journal of Family Practice, 60(Supple. 4), S1-S8.
Burns, N., & Grove, S. K. (2005). The practice of nursing research conduct, critique, and utilization (5th ed.). Philadelphia: Elsevier Saunders.
Gillissen, A., Wirtz, H., & Juergens, U. (2007). Patient and physician factors contributing to poor outcomes in patients with asthma and COPD. Disease Management & Health Outcomes, 15(6), 355-376. doi:10.2165/00115677-200715060-00004
Global Initiative for Chronic Obstructive Lung Disease. (2011). Global strategy for the diagnosis, management and prevention of COPD. Retrieved from http://www.goldcopd.org
Howell, G. (2008). Nonadherence to medical therapy in asthma: risk factors, barriers, and strategies for improving. The Journal of Asthma, 45(9), 723-729. doi:10.1080/02770900802395512.
King, I. M. (1981). A theory for nursing: System, concept, process. New York: John Wiley &
Sons.
Krigsman, K., Nilsson, J., L., & Ring, L. (2007). Refill adherence for patients with asthma and COPD: Comparison of a pharmacy record database with manually collected repeat prescriptions. Pharmacoepidemiology and Drug Safety, 16(4), 441-448.
Make, B. J. (2003). Chronic obstructive pulmonary disease: developing comprehensive
management. Respiratory care, 48(12), 1225-1237.
Oyekan, E., Nimalasuriya, A., Martin, J., Scott, R., Dudl, J., & Green, K. (2009).The B-SMART
Appropriate Medication-Use Process: A Guide for Clinicians to Help Patients Part 1:
Barriers, Solutions, and Motivation.Clinical Medicine, 3(1), 62-69.
Soriano, J. B., Kiri, V. A., Pride, N. B., & Vestbo, J. (2003). Inhaled corticosteroids with/without
long-acting β-agonists reduce the risk of rehospitalization and death in COPD patients. American Journal of Respiratory Medicine, 2(1), 67-74.
Tancharoenrat, W. (2005). Factors influence compliance of patients with chronic obstructive pulmonary disease (Unpublished master’s thesis). Mahidol University, Bangkok, Thailand.
World Health Organization. (2003). Adherence to long-term therapies: Evidence for action. Geneva, Switzerland: Author.
World Health Organization. (2010). World health statistics 2010. Retrieved from http://www.who.inc./whosis/whostar/2010/en/index.html

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2017-12-31

รูปแบบการอ้างอิง

วงศ์สวัสดิ์ พ., ชัยอาจ จ., & ภิญโญคำ น. (2017). ผลของกลยุทธ์การส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาต่อการกำเริบของโรค ในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง. พยาบาลสาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 44(4), 81. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/cmunursing/article/view/135608

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย