ผลของโปรแกรมพัฒนาแกนนำเยาวชนไทยมุสลิม ต่อการป้องกันการใช้ความรุนแรง ในเยาวชนชายแดนภาคใต้
คำสำคัญ:
การพัฒนา, เยาวชน, การป้องกันการใช้ความรุนแรง, ไทยมุสลิม, สถานการณ์ไม่สงบบทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรมแกรมพัฒนาแกนนำเยาวชนไทยมุสลิมต่อการป้องกันการใช้ความรุนแรงในเยาวชนชายแดนภาคใต้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา จำนวน 480 คน เครื่องที่ใช้ในการเก็บข้อมูลได้แก่ แบบวัดทักษะการจัดการความรุนแรงในวัยรุ่น แบบสอบถามทัศนคติต่อการใช้ความรุนแรง แบบวัดพฤติกรรมก้าวร้าว วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Independent t-test และ Paired t-test สรุปผลการวิจัยดังนี้
กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมก้าวร้าว ลดลงต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P< .05) แม้ว่าคะแนนเฉลี่ยของทักษะในการจัดการความรุนแรง ทัศนคติต่อการใช้ความรุนแรงของกลุ่มทดลองจะมีความแตกต่างจากกลุ่มควบคุม อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ถ้าพิจารณารายจังหวัด ก็จะพบว่าเยาวชนในแต่ละจังหวัด มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในทักษะการจัดการความรุนแรง ทัศนคติต่อการใช้ความรุนแรงที่ไม่เหมือนกัน
ดังนั้น การเพิ่มความสามารถในการเป็นแกนนำเยาวชนเพื่อป้องกันการใช้ความรุนแรงจึงเป็นการเพิ่มความสามารถในการดูแลตนเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการช่วยปรับทัศนคติ ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันการใช้ความรุนแรง และการใช้ทักษะการจัดการความรุนแรงที่สำคัญคือทักษะการจัดการกับอารมณ์และความเครียด และความรับผิดชอบต่อสังคม และอาจต้องพิจารณาจัดให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ นอกจากนั้นนวัตกรรมที่เป็นคู่มือ และกิจกรรมการป้องกันการใช้ความรุนแรงจะเป็นแหล่งของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และสามารถเป็นแนวทางในการพัฒนานักเรียน และสถาบันการศึกษาที่สนใจต่อไปได้เป็นอย่างดี
เอกสารอ้างอิง
Nadi School Under the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area 1
Master of Education thesis in Educational Administration Sakon Nakhon Rajabhat
University, Sakon Nakhon. (In Thai)
Department of Juvenile Observation and Protection. (2012). Registration of data items that
serve web services via Statxchange system of the Department of Juvenile
Observation and Protection Ministry of Justice. Search from
http://www.nic.go.th/gsic/wsdata/ws_moj/moj_04.htm (In Thai)
Friedberg, R. D., & Mcclure, J. M. (2002). Clinical practice of cognitive therapy with children
and adolescents: the nutts and bolts. New York: The Guilford press.
Ismael Lutefi Pakiya. (2012). Patient guide and management according to Islamic principles.
(2nd Edition). Nonthaburi: First set.
Kongsuwan, V., Chanchong, W., Suttharangsee, W., & Intanon, T.,(2014). The Effects of
ViolenceManagement Skills Training Program for Core-Team High School Youths in
Preventing Aggressive behaviors. Songklanakarin Journal of Social Sciences and
Humanities(October- December), 20(4); 73-105. (In Thai)
Kongsuwan,V., Suttharungsee,W., Isaramalai,S., Kools, S. (2008). Perception of adolescents,
friends, parents, guardians and teachers on youth violence. Journal of the International Orem Society: Self-Care & Dependent-Care Nursing, 17(1): 21-28.
Kongsuwan,V., Suttharungsee,W., Isaramalai,S., Weiss,S.J. (2012). The development and
effectiveness of a violence prevention program for Thai high school adolescents.
Pacific Rim International Journal of Nursing Research, 16(3); 236-248.
Kongsuwan,V., Suttharungsee, W., Purnell, M.J. (2012). Thai Adolescents and Social
Responsibility: Overcoming Violence in Schools and Creating Peace. Research on
Humanities and Social Sciences, 2(11); 178-187.
Laeheem, K., & Sangkharat, U., (2012). Relationships between affective characteristic
factors,familyupbringing factors, violence influence factors, and bullying behavior of
Islamic privateschools students’ in Songkhla province. Journal of Liberal Arts, Prince of
Songkla University, 4(2), 65-82 (In Thai)
Ministry of Social Development and Human Security (2012). Violence situation in the southern
border provinces Search from http://www.m-society.go.th(In Thai)
Nakhawirot, K., Pornchaikate, A., Seeherunwong , A., & Yuttri, P.,(2011).Relationships Between
Attitudes Toward Violence, Parenting Styles and Peer's Behaviors and Violence
Behaviors of Adolescents. The Journal of Faculty of Nursing Burapha Unversity Unversit,
20(3), 691-72. (In Thai)
Orem, D. E. (2001). Nursing: Concepts of practice (6th ed.). ST. Louis, MO; MOSBY Year book.
Public Relations Department. (2013) Khon Kaen organizes activities to end violence against
children and women for Campaign for Khon Kaen people to come together to solve
problems. Search fromhttp://thainews.prd.go.th/centerweb/news/newsdetail?
nt01_newsid=tnsoc561122001003 (In Thai)
Sokantad, N.,(2014). Violence Behavior : A Case study by Quarrel's Vocational Student in
Bangkok. Journal of Thai Justice System, 7(3), 99-109. (In Thai)
Srisompop Jitpiromsri and Romadan Panjo. (2013) Southern fire and Ramadan peace initiative
The protracted violence must only be counterbalance with the peace.
Prince of Songkla University Pattani Campus, Pattani. (In Thai)
Utz, S. W. (1990). Motivating self-care: A nursing approach. Holistic nursing practice, 4(2), 13-21.
World health organization. (2012). Report of the media violence commission. Retrieved from
http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/ab.21443/abstract
Yusuf Nima and Supatra Chasuwankit. (2008).(Editor).Medical and patient care that is
consistent with the Muslim lifestyle. (3rd edition). Southern Health System Research
Institute;Prince of Songkla University. (In Thai)
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
