การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ในการป้องกันการติดเชื้อในลูกตาสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก
คำสำคัญ:
การพัฒนา, สื่อวีดิทัศน์, การป้องกัน, การติดเชื้อในลูกตา, ผ่าตัดต้อกระจกบทคัดย่อ
การติดเชื้อในลูกตาหลังผ่าตัดต้อกระจกเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่สามารถป้องกันได้ โดยการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีความรู้และปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการติดเชื้อในลูกตาได้อย่างถูกต้อง การวิจัย เชิงพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ในการป้องกันการติดเชื้อในลูกตาสำหรับผู้ป่วยผ่าตัด ต้อกระจก และประเมินประสิทธิภาพสื่อที่พัฒนาขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาในการวิจัยนี้ คือ ผู้ป่วย ต้อกระจก ที่ได้รับการผ่าตัดในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จำนวน 41 ราย ดำเนินการวิจัยตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2561 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการออกแบบและพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการใช้สื่อวีดิทัศน์ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อในลูกตาสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก และแบบสอบถาม ความพึงพอใจต่อสื่อวีดิทัศน์ ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านเนื้อหา จำนวน 6 ท่าน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อจำนวน 3 ท่าน ซึ่งแบบทดสอบความรู้และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อสื่อวีดิทัศน์มีค่าความตรงตามเนื้อหา .97 และ 1.00 ตามลำดับ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .75 และ .94 ตามลำดับ ประเมินประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์โดยนำไปทดสอบแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แบบกลุ่มย่อย และแบบภาคสนาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา
สื่อวีดิทัศน์ในการป้องกันการติดเชื้อในลูกตาสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก ลักษณะเนื้อหาประกอบด้วย ความหมาย อาการ อาการแสดง ปัจจัยที่เป็นสาเหตุ ผลกระทบ และการปฏิบัติตัวในการป้องกันการติดเชื้อในลูกตา ผลการประเมินประสิทธิภาพสื่อวีดิทัศน์พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ของกลุ่มตัวอย่างหลังชม วีดิทัศน์ เพิ่มขึ้น จาก 22.7 คะแนน เป็น 26.9 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .001) การประเมินประสิทธิภาพสื่อวีดิทัศน์ในการป้องกันการติดเชื้อในลูกตาสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 1.19 ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานของเมกุยแกนส์ ซึ่งกำหนดค่าไว้ให้มากกว่า 1.00 โดยกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อสื่อ วีดิทัศน์ในการป้องกันการติดเชื้อในลูกตาสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกในระดับมากถึงมากที่สุด ทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านเนื้อหา (4.33-4.53) ด้านการออกแบบและนำเสนอ (4.17-4.60) และด้านประโยชน์ที่ได้รับ (4.63-4.73) และความพึงพอใจในภาพรวมต่อสื่อวีดิทัศน์ (4.60)
สื่อวีดิทัศน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ ควรมีการเผยแพร่สื่อวีดิทัศน์ในการป้องกันการติดเชื้อ ในลูกตาสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก เพื่อใช้ในการส่งเสริมให้ความรู้ให้แก่ผู้ป่วยเพื่อให้สามารถปฏิบัติตัวในการป้องกันการติดเชื้อในลูกตาได้อย่างถูกต้อง
เอกสารอ้างอิง
Alessi, S. M., & Trollip, S. R. (1991). Computer based instruction: Methods and development
(2nd ed.). New Jersey: Prentice Hall.
American Academy Ophthalmology. (2014). Endopthalmitis. Retrieved from www. eyewiki.aao.org /Endophthalmitis
Chanphen, S., Wanthong, P., Sangwong, A., & Chokmongkolwiboon, W. (2009). The development of case cataract nursing service in ward Songapat Photharam Hospital. (in Thai) Retrieved from http://www.photharamhosp.go.th/ptrhos/attachments/article/30/pdfd08.pd
Clinical Practice Guideline Development Group. (2006). Clinical practice guidelines: Management of post-operative infection endophthalmitis. Medical Development Division Ministry of Health Malaysia.
Department of Medical Services, Ministry of Public Health. (2017). Annual report 2017. Nonthaburi: Department of Medical Services, Ministry of Public Health. (in Thai)
Fredericks, S., Beanlands, H., Spalding, K., & Silva, M. D. (2009). Effects of the characteristics of teaching on the outcome of heart failure patient education interventions: A systematic review. European Journal of Cardiovascular Nursing, 9(1), 30-37. doi: 10.1016/j.ejcnurse. 2009.08.002
Friling, E., Lundstrom, M., Stenevi, U., Montan, P. (2013). Six-year incidence of endophthalmitis after cataract surgery: Swedish national study. Journal of Cataract & Refractive Surgery, 39(1), 15-21. doi: 10.1016/j.jcrs.2012.10.037
Gagne, R. (1985). The conditions of learning (4th Ed.). New York: Holt, Rinehart.
Kamnon, K., Unahalekhaka, A., & Kasatpibai, N. (2012). Development of video media for prevention of tuberculosis transmission of newly diagnosed pulmonary tuberculosis patients. Nursing Journal, 39(2), 101-115. (in Thai)
Ketphak, N., Picheansathian, W., & Klunklin, A. (2011). Effects of information provision using video media on patients’ knowledge and practices in prevention of nosocomial infection. Nursing Journal, 38(3), 98-109. (in Thai)
National Health Security Office. (2011). National Health Security Office Annual Report Fiscal Year 2010. Bangkok: Aroon Karn Pim. (in Thai)
Niyadurupola, N., & Astbury, N. (2008). Endophthalmitis: Controlling infection before and after cataract surgery. Community Eye Health Journal, 21(65), 9-10.
Patikulsila, D. (2013). Endopthalmitis. In S. Ausayakhun, P. Patikulsila, N. Tananuvat, D. Patukuksuka, & K. Pathanapitoon (Ed.), Eye disease in practice medicine revised edition 2013 (pp. 158- 163). Chiang Mai: Within Design. (in Thai)
Samapunpong, S. (2004). Endophthalmitis. In S. Watanasirichaikul, K. Ausadamongkhol, M. Rikunti, & S. Suntiwarakul (Eds.), Infection (pp. 1175-1180). Bangkok: Med-Sai Printing. (in Thai)
Tiantong, M. (2005). Design and development of software for computer lessons (2nd ed.). Bangkok: King Mongkut's Institute of Technology North Bangkok. (in Thai)
Torabi, H., Tabatabai, S-A., & Khodabande, A. (2017). Treatment outcome of post cataract surgery endopthalmitis in the tertiary referral center in Iran. Journal of Current Ophthalmology, 30(2), 152-155. doi: 10.1016/j.joco.2017.12.004
Viseskul, N. (2019). Development of media in nursing: Concepts and applications. Chiang Mai: Chotana Print. (in Thai)
Watanawong, S. (2001). Psychology for training adult. Bangkok: Theerapom Wannagram. (in Thai)
Wonghakaew, M. (2016). Nursing care in endophthalmitis post cataract surgery: Case study 3 cases. Mahasakham Hospital Journal, 13(3), 61-70. (in Thai)
World Health Organization. (2007). Global initiative for the elimination of avoidable blindness action plan 2006-2011. Retrieved from https://www.who.int/ blindness/ Vision2020_ report.pdf
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
