การพัฒนา “กระติ๊บข้าว” สำหรับควบคุมปริมาณการบริโภคในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
คำสำคัญ:
กระติ๊บข้าว, การบริโภคอาหาร, ข้าวเหนียว, ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานบทคัดย่อ
ที่เป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมการบริโภคข้าวอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อุปกรณ์ช่วยการกำหนดปริมาณการบริโภคข้าวจะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมปริมาณการบริโภคข้าวได้ การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระติ๊บข้าวสำหรับควบคุมปริมาณการบริโภคข้าวในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และศึกษาความเป็นไปได้ของการใช้กระติ๊บในการควบคุมปริมาณการบริโภคข้าว กลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 20 ราย ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และพะเยา โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะการศึกษา ได้แก่ ระยะที่ 1 เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการในการควบคุมระดับน้ำตาลด้วยกระติ๊บในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม 2 กลุ่มๆ ละ 6 คน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 12 คน และการพัฒนากระติ๊บโดยนำข้อมูลจากการวิเคราะห์มาประกอบการพัฒนา ระยะที่ 2 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้กระติ๊บข้าวในการควบคุมปริมาณการบริโภคข้าว โดยศึกษาในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 8 ราย การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างทั้งสองระยะแบบสะดวกตามเกณฑ์ที่กำหนด คือฮีโมโกลบินเอวันซีมากกว่า 7% หรือน้ำตาลหลังอดอาหารและน้ำมากกว่า 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และรับประทานข้าวเหนียวอย่างน้อย 1 มื้อต่อวัน กลุ่มตัวอย่างได้รับการสอนเกี่ยวกับแนวทางการใช้กระติ๊บเพื่อควบคุมปริมาณการบริโภคข้าว และแนวทางการควบคุมปริมาณการบริโภคข้าว และใช้กระติ๊บเพื่อควบคุมปริมาณการบริโภคข้าวเป็นระยะเวลา 1 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ทดลอง ประกอบด้วยกระติ๊บข้าว และเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล 2) แนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม 3) แบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้กระติ๊บ 4) แบบบันทึกการบริโภคอาหาร 7 วัน และ 5) โปรแกรมนิวตริแฟกเพื่อคำนวณพลังงานจากอาหาร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา
ผลการศึกษาพบว่า กระติ๊บที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยสองส่วนคือ ตัวกระติ๊บสำหรับบรรจุข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวและตัวเครื่องที่มี ปุ่มปิด-เปิด ปุ่มเลือกชนิดข้าว ปุ่มหมุนเลือกมื้อข้าว ปุ่มบันทึกข้อมูลลงเครื่อง จอแสดงผล ฐานวางกระติ๊บ ช่องชาร์ตแบตเตอรี่ และช่องใส่การ์ดเก็บข้อมูล ภายหลังการทดลองพบว่าปริมาณพลังงานที่ได้จากการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ลดลงจากวันละ 783.69 กิโลแคลอรี่หรือร้อยละ 49.28 เป็น 568.42 กิโลแคลอรี่หรือร้อยละ 35.73 ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมดต่อวัน ส่วนปริมาณข้าวที่บริโภคลดลง โดยข้าวเหนียวบริโภคเฉลี่ยต่อมื้อลดลงจาก 255.59 กิโลแคลอรี่เป็น 203.61 กิโลแคลอรี่ ส่วนข้าวเจ้าลดลงจาก 363 กิโลแคลอรี่เป็น 131.84 กิโลแคลอรี่ โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับพลังงานจากการบริโภคข้าวมื้อเย็นลดลงจาก 294.02 กิโลแคลอรี่ เป็น 198.48 กิโลแคลอรี่ กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อการใช้กระติ๊บเนื่องจากมีการป้อนข้อมูลกลับทันทีทำให้กำหนดปริมาณการบริโภคข้าวในแต่ละมื้อได้
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า กระติ๊บที่พัฒนาขึ้นสามารถช่วยผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควบคุมปริมาณการบริโภคข้าวได้ ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาประสิทธิผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ที่เป็นเบาหวานต่อไป
เอกสารอ้างอิง
Ahn, H.J., Han, K.A., Kwon, H.R., & Min, K-W. (2010). The small rice bowl-based mean plan was effective at reducing dietary energy intake, body weight, and blood glucose levels in Korean women with type 2 diabetes mellitus. Korean Diabetes, 34, 340-349. doi: 10.4093/kdj.2010.34.6.340.
Ahn, H.J., Han, K.A., Kwon, H.R., . . . and Min, K-W. (2010). Small rice bowl-based meal plan versus food exchange-based meal plan for weight, glucose and lipid control in obese type 2 diabetic patients. Korean Diabetes, 34(2), 86-94. doi: 10.4093/kdj.2010.34.2.86
American Diabetes Association.(2004). Nutrition principles and recommendations in diabetes. Diabetes Care, 27(supplement 1), S36-S46.
Boonvisut, S. (2011). Nutritive Values of Thai foods. Bangkok: War Veterans Organization of Thailand Printing.
Chonngam S. (2013). Research Report: Food Consumption Behavior of Diabetic Patients with HbA1C above 7% in Noen Maprang district, Phitsanulok Province. Phitsanulok: Provincial Public Health Office.
Chuayen J., Rerkasem K., Wungrath J., . . . , and Jungsathit K. (2015, October). Development of NutriFact Program for the Nutritive Values of Thai and Local Northern Thai Recipes. Poster session presented at the 9th TCN Conference; Bangkok, Thailand.(In Thai)
Diabetes Asssociation of Thailand Under The Patronage of Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhon. (2014). Clinical Practice Guideline for Diabetes 2014. Bangkok: Srimuang Printing.
Institute of Medical Research and Technology Assessment. (2013). Situation of Diabetes, Hypertension and complication in Thai 2013. Department of Medical Service. Ministry of Public Health.
International Diabetes Federation. (2015). Online version of IDF Diabetes Atlas (7th Ed.). Retrieved from www.diabetesatlas.org
Intharabut, M. and Muktabhant, B. (2007). Perception and Practices of Dietary Control in Type 2 Diabetic Patients. Srinagarind Medical Journal. 22(3), 283-290. (In Thai)
Kingkaew, P. (2007). Comparative Study on Food Consumption Behavior Between Controlled and Uncontrolled Plasma Glucose Level of Type 2 Diabetic Patients, Khuangnai Hospital, Ubonratchathani Province. MPH Dissertation. Graduate School, Khon Kaen University. (In Thai)
Suwankruhasn, N., Pothiban, L., Panuthai, S., and Boonchuang, B. (2013). Effects of a Self-management Support Program for Thai People Diagnosed with Metabolic Syndrome. Pacific Rim International Journal of Nursing Research ;17(4) 371-383. (In Thai)
National Health Examination Survey Office: NHESO. (1971). The report of the fourth Thai national Health examination Survey. Nonthaburi: The Graphico Systems.
Pradidthaprecha, A. and Muktabhunt, B. (2011). Food Consumption Pattern of New Diagnose of Type 2 Diabetic and Non-Diabetic People in Naklang District, Nongbualumphu Province. Journal of The Office of Disease Prevention and Control 7 Khon Kaen, 18(2), 76-86. (In Thai)
Sangpeach, J. (2006). Food Consumption Behavior and Self-care of Type 2 Diabetic Patients in One Stop Service Clinic, Khon Kaen Hospital. MPH. Dissertation. Graduate School, Khon Kaen University. (In Thai)
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว