ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ด้านโภชนาการร่วมกับการใช้เครื่องวัดความเค็มต่อการลดการบริโภคโซเดียม ระดับความดันโลหิตและอัตราการกรองของไตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้
คำสำคัญ:
เครื่องวัดความเค็ม, ปริมาณโซเดียมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง, อัตราการกรองของไต, ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้บทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้ด้านโภชนาการร่วมกับการใช้เครื่องวัดความเค็ม ต่อการลดการบริโภคโซเดียม ระดับความดันโลหิตและอัตราการกรองของไตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ณ คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรงพยาบาลบ้านผือ จำนวน 50 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 25 คน และกลุ่มควบคุม 25 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ด้านโภชนาการร่วมกับการใช้เครื่องวัดความเค็มเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับเฉพาะด้านโภชนาการโปรแกรมการให้ความรู้เพียงอย่างเดียว เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการให้ความรู้ด้านโภชนาการร่วมกับการใช้เครื่องมือวัดความเค็มเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกความดันโลหิต และแบบบันทึกผลการตรวจ ทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ปริมาณโซเดียมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง และอัตราการกรองของไต วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยปริมาณโซเดียมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ระดับความดันโลหิตและอัตราการกรองของไตด้วยสถิติ Independent t -test
ผลการศึกษา พบว่าค่าเฉลี่ยค่าความดันโลหิต Systolic Blood Pressure ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในระยะก่อนและหลังสิ้นสุดโปรแกรมสัปดาห์ที่ 8 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.02) อย่างไรก็ตามค่าเฉลี่ยปริมาณโซเดียมในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ความดันโลหิต Diastolic Blood Pressure และอัตราการกรองของไต ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ในระยะก่อนและหลังสิ้นสุดโปรแกรมสัปดาห์ที่ 8 ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value > 0.05) ผลงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมฯ นี้สามารถนำไปใช้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ และช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กรรณิกา สุวรรณา และคณะ (2564). ประสิทธิผลของโปรแกรมลดการบริโภคเกลือในอาหารต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง: กรณีศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช. วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพแห่งประเทศไทย, 3(2), 1-13.
กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลบ้านผือ (2565). สถิติผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลบ้านผือ. อุดรธานี: โรงพยาบาลบ้านผือ.
กองโรคไม่ติดต่อ กรมคบคุมโรค. (2565). รายละเอียดตัวชี้วัดเพื่อกำกับติดตามคุณภาพบริการการดำเนินงานด้านโรคไม่ติดต่อ (โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565. สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2566 จาก http://www.thaincd.com/2016/media detail.php?id=14109&tid=&gid=1-015-005
วิชัย เอกพลากร. (2564). การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562-2563. กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
สกุณา กัณหาสุระ และพรพิมล ชูพานิช. (2566). พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงของผู้ใหญ่ในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี. วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน, 9(4), 154-165.
Aliasgharzadeh, S., Tabrizi, J. S., Nikniaz, L., Ebrahimi-Mameghani, M., & Lotfi Yagin, N. (2022). Effect of salt reduction interventions in lowering blood pressure: A comprehensive systematic review and meta-analysis of controlled clinical trials. Plos One, 17(12), e0277929). https://doi.org/10.1371/journal.pone.0277929
Campbell, N. R. C., et al. (2019). The International Consortium for Quality Research on Dietary Sodium/Salt (TRUE) position statement on the use of 24-hour, spot, and short duration (<24 hours) timed urine collections to assess dietary sodium intake. The Journal of Clinical Hypertension, 21(6), 700-709. https://doi.org/10.1111/jch.13551
Chailimpamontree, W., et al. (2021). Estimated dietary sodium intake in Thailand: A nationwide population survey with 24-hour urine collections. Journal of Clinical Hypertension (Greenwich, Conn.), 23(4), 744-754. https://doi.org/10.1111/jch.14147
Cohen J. (1988). Statistical power analysis for the behavioral sciences. New York, NY: Routledge Academic.
Faul, F., Erdfelder, E., Lang, A.-G., & Buchner, A. (2007). G*Power 3: A flexible statistical power analysis program for the social, behavioral, and biomedical sciences. Behavior Research Methods, 39, 175-191. https://doi.org/10.3758/bf03193146
Grillo, A., Salvi, L., Coruzzi, P., Salvi, P., & Parati, G. (2019). Sodium intake and hypertension. Nutrients, 11(9), 1970. https://doi.org/10.3390/nu11091970
He, F. J., Pombo-Rodrigues, S., & MacGregor, G. A. (2014). Salt reduction in England from 2003 to 2011: Its relationship to blood pressure, stroke and ischemic heart disease mortality. BMJ Open, 4(4), e004549. https://doi.org/10.1136/bmjopen-2013-004549
He, F. J., Tan, M., Ma, Y., & MacGregor, G. A. (2020). Salt reduction to prevent hypertension and cardiovascular disease: JACC state-of-the-art review. Journal of the American College of Cardiology, 75(6), 632-647. https://doi.org/10.1016/j.jacc.2019.11.055
Irwan, A. M., Kato, M., Kitaoka, K., Ueno, E., Tsujiguchi, H., & Shogenji, M. (2016). Development of the salt-reduction and efficacy-maintenance program in Indonesia. Nursing & Health Sciences, 18(4), 519-532. https://doi.org/10.1111/nhs.12305
Nakano, M., et al. (2016). Effect of intensive salt-restriction education on clinic, home, and ambulatory blood pressure levels in treated hypertension patients during a 3-month education period. Journal of Clinical Hypertension, 18(5), 385-392. https://doi.org/10.1111/jch.12770
Nguyen, B., Bauman, A., & Ding, D. (2019). Association between lifestyle risk factors and incident hypertension among middle-aged and older Australians. Preventive Medicine, 118, 73-80. https://doi.org/10.1016/j.ypmed.2018.10.007
Wiriyatanakorn, S., Mukdadilok, A., Kantachuvesiri, S., Mekhora, C., & Yingchoncharoen, T. (2021). Impact of self-monitoring of salt intake by salt meter in hypertensive patients: A randomized controlled trial (SMAL-SALT). Journal of Clinical Hypertension (Greenwich, Conn.), 23(10), 1852-1861. https://doi.org/10.1111/jch.14344
Wu, J., et al. (2005). A summary of the effects of antihy-pertensive medications on measured blood pressure. American Journal of Hypertension, 18(7), 935-942. https://doi.org/10.1016/j.amjhyper.2005.01.011
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารวิจัยการพยาบาลและการสาธารณสุข

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารวิจัยการพยาบาลและการสาธารณสุข ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารวิจัยการพยาบาลและการสาธารณสุข


