การศึกษาทัศนคติต่อการเป็นผู้สูงอายุ การดูแลตนเอง ทักษะทางสังคม และความผาสุกในชีวิตของผู้สูงอายุวัดไทรใต้ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

บทคัดย่อ

ที่มาของปัญหา: ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) เมื่อมีอายุมากขึ้น จะเกิดภาวะพึ่งพิงเพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการดูแลตนเองลดลง ส่งผลต่อความผาสุกในชีวิต

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความผาสุกในชีวิต และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติต่อการเป็นผู้สูงอายุ การดูแลตนเอง ทักษะทางสังคม กับความผาสุกในชีวิต

วิธีการศึกษา: การวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุในชุมชนเมืองนครสวรรค์ จำนวน 265 คน คัดเลือกโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถาม ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ ปัจจัยส่วนบุคคล ทัศนคติต่อการเป็นผู้สูงอายุ การดูแลตนเอง ทักษะทางสังคม และความผาสุกในชีวิต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้สถิติ t–Test และ F–test ทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของ LSD และทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value< 0.05

ผลการศึกษา: พบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 66.8 มีอายุระหว่าง 60–69 ปี ร้อยละ 48.5 การดูแลตนเองอยู่ในระดับสูง (x̄ = 63.5, SD = 8.2) ทัศนคติต่อการเป็นผู้สูงอายุ ความผาสุกในชีวิต และทักษะทางสังคมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 56.1, SD = 4.1; x̄ = 80.3, SD = 11.1; x̄ = 106.6, SD = 13.1 ตามลำดับ) ผู้สูงอายุที่มีรายได้แตกต่างกันจะมีความผาสุกในชีวิตแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทัศนคติต่อการเป็นผู้สูงอายุ การดูแลตนเอง และทักษะทางสังคมมีความสัมพันธ์กับความผาสุกในชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

สรุป: การส่งเสริมความผาสุกในชีวิตของผู้สูงอายุ ควรคำนึงถึงการเสริมสร้างทัศนคติต่อการเป็นผู้สูงอายุเชิงบวก วิธีการดูแลตนเอง รวมถึงการเสริมสร้างทักษะทางสังคม โดยการสร้างโอกาสการเข้าถึงกิจกรรมทางสังคม และจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้สูงอายุ