การศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้เลี้ยงดูเด็กปฐมวัย 0-5 ปี ระหว่างกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสมวัยและกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าในเขตจังหวัดขอนแก่น
Main Article Content
บทคัดย่อ
ที่มาของปัญหา: การศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมของผู้เลี้ยงดูเด็กปฐมวัย 4 ช่วงวัย ระหว่างกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสมวัยและกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้า ในเขตจังหวัดขอนแก่น
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปของผู้เลี้ยงดูเด็กปฐมวัย 0-5 ปีและศึกษาความแตกต่างของพฤติกรรมผู้เลี้ยงดูระหว่างกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสมวัยและกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าใน 4 ด้านได้แก่ 1.ด้านส่งเสริมพัฒนาการ 2.ด้านอาหารและโภชนาการ 3.ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย และ 4.ด้านอารมณ์และจิตใจ
วัสดุและวิธีการ: การวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research) หาขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรเครจซี่และมอร์แกนทำการสุ่มตัวอย่างแบบ Stratified stage sampling และแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเด็กปฐมวัย 4 ช่วงวัย ที่มีพัฒนาการสมวัย จำนวน 202 คน และกลุ่มที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าจำนวน 203 คนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาความถี่ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานส่วนการวิเคราะห์ความแตกต่างของพฤติกรรมผู้เลี้ยงดูของทั้งสองกลุ่มใช้วิธีทดสอบหาค่าความแตกต่างของทั้งสองกลุ่มที่เป็นอิสระต่อกันโดยใช้ Independent sample t-test
ผลการศึกษา: ข้อมูลทั่วไปของผู้เลี้ยงดูเด็กปฐมวัย 4 ช่วงวัย ที่มีพัฒนาการสมวัยส่วนใหญ่เป็นแม่และพ่อ จำนวน 90 คน (ร้อยละ 44.6) รองลงมาเป็นแม่ จำนวน 60 คน (ร้อยละ 29.7) การศึกษาระดับมัธยมศึกษา มากที่สุด จำนวน 88 คน (ร้อยละ 43.6) รองลงมาระดับปริญญาตรี จำนวน 51 คน (ร้อยละ 25.3) ประกอบอาชีพรับจ้าง/บริษัทมากที่สุด จำนวน 65 คน (ร้อยละ 32.2) ส่วนผู้เลี้ยงดูกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าส่วนใหญ่เป็นแม่และพ่อเป็นผู้เลี้ยงดู จำนวน 78 คน (ร้อยละ 38.4) รองลงมาเป็นญาติพี่น้อง จำนวน 53 คน (ร้อยละ 26.1) มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จำนวน 98 คน (ร้อยละ 48.3) รองลงมาระดับอนุปริญญา จำนวน 50 คน (ร้อยละ 24.6) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแม่บ้านที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ จำนวน 82 คน (ร้อยละ 40.4)
ผลการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าพฤติกรรมผู้เลี้ยงดูระหว่างกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสมวัยและกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้ามีจำนวน 3 ด้านที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ด้านส่งเสริมพัฒนาการ ด้านอารมณ์และจิตใจ (p < 0.001) และด้านอาหารและโภชนาการ (p = 0.02) และเมื่อทำการวิเคราะห์ความแตกต่างในภาพรวมของพฤติกรรมผู้เลี้ยงดูเด็กทั้ง 4 ด้านรวมกัน ระหว่างกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสมวัยและกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าพบว่ามีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001)
สรุป: พฤติกรรมผู้เลี้ยงดูเด็กทั้ง 4 ด้านรวมกัน ระหว่างกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสมวัยและกลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าพบว่ามีความแตกต่างกัน
Article Details
เอกสารอ้างอิง
Ministry of Public Health. Developmental surveillance and promotion manual: DSPM. Nonthaburi: Ministry of Public Health; 2017.
Wattanadeachasakul K, Anusaksathienb K. Family factors relating to child development: a case study of preschool children at Omkoi District, Chiang Mai. Paper presented at: Naresuan Research Conference 13;2017 July 20; Phisanulok: Naresuan University; 2017. P. 1135-42.
Siriratrakha T, Screening assessment of children with special needs unit 3. Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat University; 2006.
Ritplak S, The development on model for the promotion of 1 – 3 year old child development through the participation of family and community : A case study of Tambon Banyang, Amphoe Meuang, Changwat Burirum. Research and Development Journal, Loei Rajabhat University 2016; 11(Special Issue):99-109.
Krejcie RV, Morgan DW. Determining sample size for research activities. Educ Psychol Meas 1970; 30: 607-10.
Kradsing W. Average and Interpretation. Educational Research News, 1995;18(3) 8-11.