ผลของโปรแกรมการพยาบาลแบบสนับสนุนและให้ความรู้ต่อความสามารถในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้านของผู้ดูแล
Main Article Content
บทคัดย่อ
ที่มาของปัญหา: ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ที่พ้นระยะวิกฤติและอยู่ในระยะฟื้นฟูสุขภาพที่บ้าน เป็นภาวะที่ผู้ป่วยต้องพึ่งพาการดูแลจากผู้ดูแล ดังนั้นความสามารถในการดูแลผู้ป่วยของผู้ดูแล จึงมีความสำคัญต่อการฟื้นสภาพของผู้ป่วยให้สามารถกลับสู่ปกติลดภาวะแทรกซ้อนจากความพิการ
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพยาบาลแบบสนับสนุนและให้ความรู้ ต่อความสามารถในการดูแลของผู้ดูแล ความสามารถช่วยเหลือตนเองและการเกิดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคหลอดลือดสมอง
วิธีการศึกษา: การวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ดูแลหลัก และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดรายใหม่ กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 28 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการพยาบาลระบบสนับสนุนและให้ความรู้โดยประยุกต์ทฤษฎีการดูแลตนเองประกอบด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับโรค การฝึกทักษะและสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยโดยการเยี่ยมบ้านรายบุคคล 2 ครั้ง รวมถึงการโทรศัพท์ติดตามและให้คำปรึกษาตามปัญหาที่พบ รวมระยะเวลาการศึกษา 8 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามและการสังเกตตามแบบตรวจสอบรายการภาวะแทรกซ้อนที่เกิด ที่ก่อนทดลองและสิ้นสุดการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ทดสอบสมมติฐานด้วย Independent t-test และ Paired t-test
ผลการศึกษา: หลังการทดลอง ผู้ดูแลกลุ่มทดลองมีความสามารถในการดูแลเพิ่มขึ้น คือมีความมั่นใจในการดูแลเพิ่มขึ้นกว่าก่อนทดลอง และมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) และมีการปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากก่อนทดลองและมีผลต่างของคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) หลังการทดลองผู้ป่วยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถช่วยเหลือตนเองมากกว่าก่อนทดลองและมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ และมีคะแนนเฉลี่ยภาวะการเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าก่อนทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05)
สรุป: โปรแกรมการพยาบาลแบบสนับสนุนและให้ความรู้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมความสามารถในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน และฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยได้
Article Details
เอกสารอ้างอิง
Division of Non Communicable Diseases. The number and morbidity rate of stroke patient (I60-I69) per 100,000 population (including all diagnosis) 2007-2014 classified by province, health service area and big picture of Thailand (including Bangkok) [Internet]. 2015 [cited 2019 Oct 3]. Available from: http://www.thaincd.com/2016/mission/documents.php?tid=32&gid=1-020&searchText=หลอดเลือด+สมอง+I60-I69
Baumann M, Peck S, Collins C, Eades G. The meaning and value of taking part in a person-centred arts programme to hospital-based stroke patients: Findings from a qualitative study. Disabil Rehabil 2013; 35:244–56.
Korpershoek C, van der Bijl J, Hafsteinsdottir TB. Self-efficacy and its influence on recovery of patients with stroke: a systematic review. J Adv Nurs 2011; 67:1876-94.
Oupra R, Ruengkhome C, Wongpalee J, Kantawong E. Stroke caregiver care giving experience. Rajabhat Journal of Sciences, Humanities & Social Sciences 2011;12(2):50-9.
National Institute of Neurological Disorder and Stroke. Preventing stroke [Internet]. 2014 [cited 2016 Aug 25]. Available from: https://catalog.ninds.nih.gov/pubstatic//15-3440B/15-3440B.pdf.
Orem DE. Nursing: concept of practice. 4th ed. St Louis: Mosby Year Book;1991.
Sanghuachang W. Effects of education program using group process and telephone follow up on stroke prevention knowledge and practice in elderly with chronic illness. J Prapokklao Hosp Clin Med Educat Center 2013; 30:260-73.
Cohen J. A power primer. Psychol Bul 1992; 112:155-9.
Suchawadee Senasana; Patcharee Komjakraphan; Sangarun Isaramalai. Development of the Home-Based Skill Training Program for Caregivers of Stroke Patients. JPMAT [Internet]. 7(2):212-2. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPMAT/article/view/128737
Collin C, Wade DT, Davies S, Horne V. The Barthel ADL index: a reliability study. Int Disabil Stud 1988;10:61-3.