ผลลัพธ์การนอนในผู้ปกครองของผู้ป่วยเด็กนอนกรนประจำหลังผ่าตัดต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์

บทคัดย่อ

ที่มาของปัญหา: การนอนกรนเป็นหนึ่งในปัญหาการนอนที่พบบ่อยในเด็ก เกิดจากต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ขนาดใหญ่ไปอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน การรักษาหลักจึงเป็นการผ่าตัดต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ การนอนกรนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและส่งผลให้ผู้ร่วมเตียงนอนมีคุณภาพการนอนและคุณภาพชีวิตลดลงตามมาด้วย

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลการนอนของผู้ปกครองและเด็กที่นอนกรนประจำหลังผ่าตัดต่อมทอนซิลและ
อะดีนอยด์ ในด้านผลลัพธ์การนอนของผู้ปกครอง, ความง่วงนอนกลางวันของผู้ปกครอง และคุณภาพชีวิตเด็ก

วิธีการศึกษา: การศึกษาชนิด intervention รวบรวมข้อมูลไปข้างหน้า ในผู้ปกครองที่นอนร่วมเตียงกับเด็กนอนกรนประจำที่ได้รับการผ่าตัดต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ โดยผู้ปกครองทำแบบสอบถาม 3 ชุด ได้แก่ แบบประเมินผลลัพธ์การนอนต่อกิจกรรมของผู้ปกครอง (FOSQ), แบบประเมินความง่วงนอนกลางวันของผู้ปกครอง (ESS) และแบบประเมินคุณภาพชีวิตเด็ก (OSA-18) ก่อนผ่าตัด 1 เดือนและหลังผ่าตัด 1 เดือน

ผลการศึกษา: ผู้ปกครองของเด็กนอนกรนจำนวน 15 ราย ทำแบบสอบถามเฉลี่ยก่อนผ่าตัด 21.1±16.7 วัน และหลังการผ่าตัด 38.4±2.5 วัน หลังผ่าตัดมีผลลัพธ์การนอนดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ค่า FOSQ เพิ่มขึ้นจาก 17.1±2.6 เป็น 18.6±1.0 คะแนน (p=0.03) ค่าความง่วงนอนกลางวันของผู้ปกครองลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังผ่าตัด ค่า ESS ลดลงจาก 7.1±3.3 เหลือ 4.3±3.1 (p=0.009) เด็กมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งคะแนนรวมและ 5 ด้านย่อย ค่า OSA-18 ลดลงจาก 66.4±16.4 เหลือ 31.3±8.9 (p<0.001)

สรุป: ภาวะนอนกรนประจำของผู้ป่วยเด็กส่งผลกระทบต่อการนอนและคุณภาพชีวิตของผู้ปกครอง การผ่าตัดต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ ส่งผลให้ทั้งเด็กและผู้ปกครองมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและความง่วงนอนกลางวันของผู้ปกครองลดลง