การศึกษาประสิทธิผลของระบบบริการฝากครรภ์โดยใช้การแพทย์ทางไกล (Telehealth) ในสตรีตั้งครรภ์ที่มารับบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 3 นครสวรรค์
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
ที่มาของปัญหา: จากสถานการณ์โรคโควิด-19 แพร่ระบาดไปทุกภูมิภาคทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการเพื่อลดความแออัด ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนากระบวนการฝากครรภ์ใหม่โดยใช้การแพทย์ทางไกล (Telehealth) แต่ยังคงมาตรฐานการฝากครรภ์คุณภาพของกรมอนามัย
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของระบบบริการฝากครรภ์โดยใช้การแพทย์ทางไกล(Telehealth)
วิธีการศึกษา: รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Retrospective Study) พัฒนาแนวทางการฝากครรภ์โดยใช้การแพทย์ทางไกล ในสตรีตั้งครรภ์ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 3 นครสวรรค์ กลุ่มควบคุม คือ เวชระเบียนของหญิงที่มาฝากครรภ์ ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ที่มีความเสี่ยงต่ำ ที่ฝากครรภ์แนวทางเดิม และกลุ่มทดลอง คือ เวชระเบียนหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์โดยใช้ระบบการแพทย์ทางไกล เก็บข้อมูลประสิทธิผลโดยแบบบันทึกข้อมูลวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติเชิงพรรณนา Chi-square และ Independent t-test
ผลการศึกษา: พบว่าหญิงที่ได้รับการฝากครรภ์โดยใช้การแพทย์ทางไกล และฝากครรภ์แนวเดิม ไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของทารกน้ำหนักน้อยแรกเกิด (น้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม) ทารกเสียชีวิตในครรภ์ ทารกคลอดเติบโตช้าในครรภ์ รวมทั้งมารดา และทารกมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอด
สรุป: การพัฒนาแนวทางฝากครรภ์โดยใช้การแพทย์ทางไกล (Telehealth) สามารถลดความแออัดในโรงพยาบาลในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์และทารก สำหรับการนำมาใช้หลังจากหมดโรคระบาดยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
Thaiclinicaltrials.org number, TCTR20221026001
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
Department of Medical Service. The Ministry of Public Health organizes medical services in a new way to reduce congestion and prevent COVID-19 [Internet]. 2020 [cited 2021 Oct 23]. Available from: https://www.dms.go.th/Content/Select_Landding_page?contentId=21659
Adulyatham T. Cloud meeting-telemedicine and health care worker in COVID-19. Journal of the Department of Medical Services 2020;45(2):5-7.
Palmer KR, Tanner M, Davies-Tuck M, Rindt A, Papacostas K, Giles ML, et al. Widespread implementation of a low-cost telehealth service in the delivery of antenatal care during the COVID-19 pandemic: an interrupted time-series analysis. Lancet 2021;398(10294):41–52
Butler Tobah YS, LeBlanc A, Branda ME, Inselman JW, Morris MA, Ridgeway JL, et al. Randomized comparison of a reduced-visit prenatal care model enhanced with remote monitoring. Am J Obstet Gynecol [Internet]. 2019 [cited 2021 Oct 23];221(6):638.e1 638.e8. Available from: https://doi.org/10.1016/j.ajog.2019.06.034
Stephen G, Mgongo M, Hussein Hashim T, Katanga J, Stray-Pedersen B, Msuya SE. Anaemia in pregnancy: prevalence, risk factors, and adverse perinatal outcomes in northern Tanzania. Anemia [Internet]. 2018 [cited 2021 Oct 23];2018:1846280. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5954959/pdf/ANEMIA2018-1846280.pdf
Sookdee J, Wanaratwichit C. Factors affecting iron deficiency anemia among pregnant women receiving antenatal care at sub districts health promoting hospital. Journal of Health Science Research 2016;10(1):1-7.
Pereda J, Bove I, Pineyro MM. Excessive maternal weight and diabetes are risk factors for macrosomia: a cross-sectional study of 42,663 pregnancies in Uruguay. Front Endocrinol (Lausanne) [Internet]. 2020 [cited 2021 Oct 23];11:588443. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7669744/pdf/fendo-11-588443.pdf
