ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อและปัจจัยเสริม กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของทหารบกจังหวัดอุดรธานี
คำสำคัญ:
พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ, สุขภาพช่องปาก, ทหารบกบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อและปัจจัยเสริมกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของทหารบกจังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นทหารบกปฏิบัติงานพื้นที่จังหวัดอุดรธานีจำนวน 338 คน ได้มาโดยสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม หาคุณภาพโดยใชสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบราค ได้ค่าความเชื่อมั่นด้านเจตคติเท่ากับ 0.89 การรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพเท่ากับ 0.85 และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเท่ากับ 0.91 เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2564 ถึงมีนาคม 2565 วิเคราะหขอมูลใชสถิติเชิงพรรณนา หาความสัมพันธระหวางตัวแปร ดวยสถิติไคสแควร์และสถิติสัมประสิทธิสหสัมพันธของเพียรสัน
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 92.6 อายุระหว่าง 20-40 ปี (ร้อยละ 78.0) เป็นทหารชั้นประทวนร้อยละ 84.3 ส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัวร้อยละ 88.2 ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากทางสื่อออนไลน์และสื่อโทรทัศน์ร้อยละ 52.7 และ 43.5 ตามลำดับ โดยร้อยละ 63.3 เข้ารับบริการตรวจสุขภาพช่องปากครั้งสุดท้ายนานกว่า 1 ปี มีเจตคติเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากระดับสูง (x̄ =4.2, S.D = 0.7) ความเชื่อด้านสุขภาพภาพรวมระดับมาก (x̄ = 4.2, S.D = 0.6) พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากภาพรวมระดับมาก (x̄ =4.4, S.D = 0.8) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุราชการ สถานภาพสมรส รายได้ 2) ปัจจัยนำ ได้แก่ เจตคติและการรับรู้ความเชื่อด้านการดูแลสุขภาพช่องปาก 3) ปัจจัยเอื้อ ได้แก่ การเข้าถึงบริการและการได้รับคำแนะนำจากบุคลากร และ 4) ปัจจัยเสริม ได้แก่ การสนับสนุนของหน่วยงาน มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของทหารบกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
จากผลการวิจัยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรจัดกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนให้ทหารเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากตนเอง พัฒนาเจตคติ ความเชื่อด้านการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง และพัฒนาระบบบริการด้านทันตกรรมให้มีคุณภาพ
References
กรมอนามัย. สำนักทันตสาธารณสุข. รายงานผลการสำรวจสภาวะสุขภาพชองปากแหงชาติครั้งที่ 8 ประเทศไทยพ.ศ. 2560. กรุงเทพฯ: สามเจริญพาณิชย์; 2561.
กรมอนามัย. การสร้างเสริมสุขภาพช่องปากประตูสู่สุขภาพที่ดีในทุกชวงวัยของชีวิต. กรุงเทพฯ: องคการสงเคราะห์ทหารผานศึก; 2555.
กองงานทันตกรรม. โรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม. รายงานผลการตรวจสุขภาพช่องปากประจำปี 2563-2565.
สุรีพร สุปนะ, ณรงค์ ใจเที่ยง, ศรีสุดา เจริญดี. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ปกครองเด็กก่อนวัยเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอำเภอนาน้อยจังหวัดน่าน. มหาราชนครศรีธรรมราชเวชสาร 2562; 2(2): 1-12.
สุภาพร ผุดผ่อง. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี. ว.วิทยาศาสตร์สุขภาพ 2563; 4(1): 101-119.
บรรพต โหมงโก้ว. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนท่ามะขามวิทยา ตำบลดอนทราย อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี. ว.หัวหินสุขใจไกลกังวล 2560; 2(2): 23-34.
กิตติศักดิ์ นามวิชา. ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุในเขตตำบลสำโรง อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์. ว. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎ 2562; 3(2): 45-55.
ธนิดา ผาติเสนะ, วิภาวรรณ มุ่งยุทธกลาง, อรชร กอหญ้ากลาง, เสฏฐวุฒิ ไพสีสาน. ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านทันตสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเหล่า อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา. ว.วิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพ 2562; 5(2): 121-131.
นรลักขณ์ เอื้อกิจ, ลัดดาวัลย์ เพ็ญศรี. การประยุกต์ใช้แนวคิด PRECEDE MODEL ในการสร้างเสริมสุขภาพ. ว.พยาบาลสภากาชาดไทย 2562; 12(1): 38-48.
อุดมพร ทรัพย์บวร. พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุในเขตตำบลนครชัยศรี อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม. ว.แพทย์เขต 4-5 2562; 38(4): 244-255.
นุจรี พาณิชย์เจริญรัตน์, เสมอจิต พิธพรชัยกุล, สุกัญญา เธียรวิวัฒน์. ความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะช่องปากกับคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของพลทหารแรกเข้าภาคใต้ ประเทศไทย. วิทยาสารทันตแพทย์ศาสตร์ 2562; 69(2): 209-216.
กรรณิกา เรืองเดช, ชาวสวน ศรีเจริญ, ปฏิภัทร เคลือบคล้าย, ลีละชาติ ประเสริฐ.ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุในโครงการฟันเทียมพระราชทานของโรงพยาบาลวังวิเศษ จังหวัดตรัง. ว.เครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ 2561; 5(3): 152-168.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง
ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์ ขอสงวนสิทธิ์มิให้นำเนื้อหา ทัศนะ หรือข้อคิดเห็นใด ๆ ของบทความในวารสารไปเผยแพร่ทางการค้าก่อนได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร