ผลของโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรคต่อการรับรู้เกี่ยวกับ โรคมะเร็งปากมดลูก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงบัง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรค ต่อการรับรู้เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกในสตรีกลุ่มเป้าหมาย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงบัง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยโปรแกรมการเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรค ที่ประยุกต์แนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อการป้องกันโรคของ Rogers มี 4 ขั้นตอน ใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ โดยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรี อายุระหว่าง 30 - 60 ปี จำนวน 60 คน ตามเกณฑ์การคัดเข้า แบ่งกลุ่มโดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน เก็บข้อมูลช่วงเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2561 เครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) โปรแกรมการเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรค และ 2) แบบสอบถามการรับรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก ตรวจความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ได้ค่า IOC เท่ากับ 0.67 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา โดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติอนุมานเปรียบเทียบภายในกลุ่มด้วย Paired t-test เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มด้วย Independent t-test
ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลอง สตรีกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรคมีการรับรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก สูงกว่าก่อนทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) นอกจากนี้ยังพบว่า มีทีมหมอครอบครัวเป็นเครือข่ายผู้สนับสนุนทางสังคม ให้การสนับสนุนและกระตุ้นเตือนในการมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้ได้เพิ่มมากขึ้น จึงควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในการส่งเสริมการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก
Article Details
ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะใดๆ ที่นำเสนอในบทความเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยบรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และคณะกรรมการวารสารราชธานีนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์สุขภาพไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด มหาวิทยาลัยราชธานี บรรณาธิการ และกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดหรือผลที่เกิดขึ้น จากการใช้ข้อมูลที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้
เอกสารอ้างอิง
วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 3(1): 31-45.
จตุพล ศรีสมบูรณ์. (2551). คู่มือสูติสาสตร์และนรีเวชวิทยา. เชียงใหม่: พี.บี.ฟอเรน.
จันทนี แต้ไพสิฐพงษ์. (2556). ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ต่อระดับความรู้ และทัศนคติในสตรีที่มีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกปกติ, วารสารสภาการพยาบาล, 28(2): 75 - 87.
ปิยวัฒน์ เลาวหุตานนท์. (2556). แนวทางปฏิบัติการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก. กรุงเทพฯ: โฆสิตการพิมพ์.
มงคล เบญจาภิบาล. (2553). มะเร็งปากมดลูกภัยที่ป้องกันได้. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2557, จากฐานข้อมูล http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงบัง. (2560). สรุปผลการดำเนินงาน ปี 2560. อุบลราชธานี : โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงบัง.
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์. (2561). นโยบายการดำเนินงานตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก. กรุงเทพฯ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี. (2560). สรุปผลการดำเนินงาน ปี 2560. อุบลราชธานี: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี.
Maddux, J. E., & Rogers, R. W. (1983). Protection Motivation Theory and Self-Efficacy: A Revised Theory of Fear Appeals and Attitude Change. Journal of
Experimental Social Psychology, 19, 469-479.
O’Donnell, M. P. (Ed.). (2002). Health Promotion in the Workplace (3rd ed.). Albany,
NY: Delmar.
World Health Organization. (2012). Report of a WHO Consultation on Cervical Cancer Screening in Developing Countries. Geneva: World Health Organization. Retrieved Jan 10, 2015 from https://www.who.int/cancer/media/en/cancer_cervical_37321.pdf