การตระหนักรู้ในตนเอง และการรับรู้ประโยชน์ของการตระหนักรู้ในตนเองของนักศึกษาพยาบาลมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอุบลราชธานี
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบการตระหนักรู้ในตนเอง การรับรู้ประโยชน์ของความตระหนักรู้ในตนเองของนักศึกษาพยาบาล และศึกษาการนำการตระหนักรู้ในตนเองไปใช้ประโยชน์ของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชน แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาพยาบาลศสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยเอกชน แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 190 คน การวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยแบบสอบถาม ได้แก่ แบบสอบถามการตระหนักรู้ในตนเอง แบบสอบถามการรับรู้ประโยชน์ของการตระหนักรู้ในตนเอง และแบบสอบถามการนำตระหนักรู้ในตนเองไปใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยสถิติเชิงวิเคราะห์ One way ANOVA
ผลการวิจัยพบว่า การเปรียบเทียบการตระหนักรู้ในตนเองของกลุ่มตัวอย่าง มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (P = .001) โดยชั้นปีที่ 3 มีการตระหนักรู้ในตนเองมากที่สุด รองลงมาคือชั้นปีที่ 2 และปีที่ 1 ตามลำดับ และการเปรียบเทียบการรับรู้ประโยชน์การตระหนักรู้ในตนเองของกลุ่มตัวอย่าง มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (P = .012) โดยชั้นปีที่ 3 มีการตระหนักรู้ในตนเองมากที่สุด รองลงมาคือชั้นปีที่ 2 และปีที่ 1 ตามลำดับ และกลุ่มตัวอย่าง มีการนำเอาตระหนักรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยนำไปใช้เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้ ตลอดจนรู้ จุดด้อยของตัวเอง เพื่อจะได้นำไปพัฒนาปรับปรุงตนเองในการดำเนินชีวิตอย่างมีเหตุผล สำหรับการนำการตระหนักรู้ในตนเองไปใช้ในการฝึกปฏิบัติงาน พบว่า กลุ่มตัวอย่าง จะนำไปใช้เตือนตัวเองให้รู้ตัวเองอยู่เสมอ ทำให้มีสติและรอบคอบขณะเวลาทำงาน หรือฝึกปฏิบัติงาน
Article Details
ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะใดๆ ที่นำเสนอในบทความเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยบรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และคณะกรรมการวารสารราชธานีนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์สุขภาพไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด มหาวิทยาลัยราชธานี บรรณาธิการ และกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดหรือผลที่เกิดขึ้น จากการใช้ข้อมูลที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้
เอกสารอ้างอิง
ฉวีวรรณ สัตธรรม. (2557). การพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.
ทัศนีย์ สุริยะไชย. (2554). ความสัมพันธ์ระหว่างการตระหนักรู้ในตนเองกับการร่วมรู้สึกในวัยรุ่น.
(การศึกษามหาบัณฑิต สาขาจิตวิทยาพัฒนาการ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ).
ธณัชช์นรี สโรบล. (2560). การพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยการใช้การสะท้อนคิด. วารสารวิทยาลัยบรมราชชนนี เชียงใหม่, 46(1), 89-90.
เพชรรุ่ง เพชรประดับ. (2558). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการจัดการภาวะขาดแคลนพยาบาล. ผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา. ใน. การจัดประชุมเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ครั้งที่ 4 The 4th STOU Graduate Research Conference วันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2558.
เรวัต เงินเย็น. (2558). ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความตระหนักรู้ในตนเองของนักเรียนระดับชั้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเชียงราย. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, 8(18) กันยายน-ธันวาคม, 183-188.
วราพร วันไชยธนวงค์, วราภรณ์ ยศทวี, และจุฬาวรี ชัยวงค์นาคพันธ. (2560). การพัฒนาความตระหนักในคุณค่าของชีวิตสำหรับนักศึกษาพยาบาล. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์. 9(2) กรกฎาคม–ธันวาคม, 112-127.
สายฝน เอกวรางกูร. (2562). การพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิตศาสตร์และศิลป์ สู่การปฏิบัติ 1.กรุงเทพฯ: ไทม์ พริ้นติ้ง.
สายสมร เฉลยกิตติ. (2557). วิถีทางสร้างสุขสำหรับนักเรียนพยาบาล. พยาบาลทหารบก.
15( 2), 92-98
สุภิชญา ทองแก้ว. (2561). ความตระหนักต่อความปลอดภัยผู้ป่วยของพยาบาลวิชาชีพใหม่ใน โรงพยาบาลทั่วไป. เครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 5(1), 64-65.
Krejcie, R.V. & Morgan, D.W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities.
Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.