Factors Predicting Family and Community Social Supports on Quitting of Methamphetamine in Nongki Hospital, Buriram Province
Keywords:
Social support, Family and community, Methamphetamine, Quitting of drug useAbstract
The purpose of this research was to study factors predicting the quitting of methamphetamine in patients of Nongki hospital, Buriram province. The samples were 147 patients randomly selected from the patients who used methamphetamine and were being treated at Nongki Hospital. The data were collected during 1-30 September 2019. The instrument used for data collection was a questionnaire containing 3parts: personal information, social support from family and community, and questions asking about quitting of methamphetamine with overall reliability using Cronbach’s alpha coefficients of 0.87. The data were analyzed using descriptive statistics and multiple regression.
Results showed that acceptance and value in family’s and community’s social support had statistically significant relationships with quitting methamphetamine (r = 0.84, r = 0.57, r = 0.64, p < 0.001). It was found from the multiple regression analysis that the variables could significantly predict the quitting of methamphetamine drugs with adjusted R2 of 0.51 (p < 0.001).
This study concluded that supports both from family and community were important factors in helping the successful quitting of methamphetamine among the drug users.
References
2. คำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ที่ 3/2561. แผนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเร่งด่วน (อินเตอร์เนต).2561 (เข้าถึงเมื่อ 10 พฤษภาคม 2559). เข้าถึงได้จาก www.nccd.go.th/upload/ news/2(29).pdf.
3. สังคม ตัดโส. ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 : ศึกษาจากผู้ต้องขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง(วิทยานิพนธ์ปริญญาสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยามหาบัณฑิต).กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล; 2541.
4. มานพ คณะโต. โครงการศึกษาสถานการณ์และการแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ขอนแก่น : เครือข่ายพัฒนาวิชาการและข้อมูลสารเสพติด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2551
5. อัครพล คุรุศาสตรา. แนวทางการดำเนินงานยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : สำนักบริหารการสาธารณสุข; 2559.
6. วัชรี แก้วงาม. ความสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมของครอบครัวและชุมชนกับพฤติกรรมการเลิกเสพยาบ้าของวัยรุ่นในค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในจังหวัดจันทบุรี (วิทยานิพนธ์คหกรรมศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช; 2556.
7. โรงพยาบาลหนองกี่. รายงานประจำปีโรงพยาบาลหนองกี่. บุรีรัมย์: โรงพยาบาลหนองกี่; 2562.
8. Yamane Taro. Statistics: An Introductory Analysis. 2rd ed. New York : Harper and Row ; 1973.
9. พัชชา วงค์สวรรค์. พฤติกรรมการเสพยาบ้าของวัยรุ่น(วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2552.
10. ดวงฤดี ใจกระจ่าง. ปัจจัยภายในตัวบุคคล ปัจจัยสิ่งแวดล้อมและมาตรการของรัฐที่ส่งผลต่อการใช้แอมเฟตามีนของเด็กเยาวชน กรณีศึกษาศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 จังหวัดราชบุรี (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์). นครปฐม : มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง; 2558.
11. Pender, NJ, Murdaugh, CL & Parsons, MA. (2011). Health Promotion in Nursing Practice. (6th ed.). New Jersey: Pearson Education, Inc.
12. เพ็ญนภา กุลกานต์สวัสดิ์. การตระหนักรู้ในตนเองและกลวิธีการเผชิญปัญหาเกี่ยวข้องในผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดยาเสพติด (วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสุขภาพจิต ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2555.
13. สุคนธ์ทิพย์ บุญทาและคณะ. ความต้องการการได้รับการสนับสนุนจากงานสังคมสงเคราะห์ในผู้ป่วยยาเสพติด. ขอนแก่นศูนย์ : บําบัดรักษายาเสพติดขอนแก่น; 2554.
14. อาภาศิริ สุวรรณานนท์และคณะ. ปัจจัยด้านบุคคลที่มีผลต่อการติดยาเสพติดซ้ำส่วนวิชาการด้านยาเสพติดสำนักพัฒนาการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด. กรุงเทพมหานคร : สำนักงาน ป.ป.ส.; 2550.
Downloads
Published
How to Cite
Issue
Section
License
บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ประกฎในวารสารศูนย์อนามัยที่ 9 เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน บรรณาธิการ คณะผู้จัดทำ และศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา (เจ้าของ) ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง
ผลการพิจารณาของกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิถือเป็นที่สิ้นสุด คณะบรรณาธิการวารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขข้อความให้ถูกต้องตามหลักภาษาและมีความเหมาะสม
กองบรรณาธิการวารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์มิให้นำเนื้อหาใด ๆ ของบทความ หรือข้อคิดเห็นใด ๆ ของผลการประเมินบทความในวารสารฯ ไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารศูนย์อนามัยที่ 9