ปัจจัยทำนายการปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็กของผู้ดูแล

ผู้แต่ง

  • ณัฐนรี อนุกูลวรรธกะ นักศึกษาปริญญาโท คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • พัชราภรณ์ อารีย์ รองศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สุธิศา ล่ามช้าง รองศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คำสำคัญ:

ผู้ดูแลเด็กที่มีอาการชัก การปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็ก, การรับรู้ความรุนแรงของโรค, การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรม และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแล

บทคัดย่อ

อาการชักในเด็กส่งผลต่อภาวะสุขภาพของเด็กและผู้ดูแล การปฏิบัติป้องกันของผู้ดูแลจะช่วยให้เด็กควบคุมอาการชักได้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบหาความสัมพันธ์เชิงทำนายเพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรม และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลต่อการปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็กของผู้ดูแล กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลหลักของเด็กที่มีอาการชักอายุ 1 เดือน ถึง 6 ปี ที่เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุ-เคราะห์ โรงพยาบาลลำปาง และโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจำนวน 74 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามความรุนแรงของโรคตามการรับรู้ของผู้ดูแล แบบสอบถามการรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรม แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตน  และแบบสอบถามการปฏิบัติการป้องกันอาการชักในเด็กของผู้ดูแล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โดยใช้สถิติพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน

ผลการวิจัยพบว่า

ผู้ดูแลมีคะแนนการปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็กโดยรวมอยู่ในระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 87.26 และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ผู้ดูแลมีคะแนนการปฏิบัติด้านการจัดการภาวะไข้ ด้านการใช้ยากันชักและติดตามการรักษา และด้านการดูแลกิจวัตรประจำวันทั่วไปอยู่ในระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 26.32, 22.70 และ 11.56 ตามลำดับ ส่วนด้านการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 27.24.

ผู้ดูแลมีคะแนนการรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรมอยู่ในระดับต่ำ โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 39.64 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 11.47, คะแนนการรับรู้ความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.28 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.00 และคะแนนการรับรู้สมรรถนะแห่งตนอยู่ในระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 107.24 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 14.33

การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรม และการรับรู้ความรุนแรงของโรค มีความสามารถในการร่วมกันทำนายการปฏิบัติการป้องกันอาการชักในเด็กได้ร้อยละ 46.0 (R2 = .460, p < .001)

ผลการศึกษาครั้งนี้ สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานนการปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็ก และสามารถใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมการปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็กของผู้ดูแลต่อไป

เอกสารอ้างอิง

1. เพื่อเป็นแนวทางของพยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์ในการสร้างแนวปฏิบัติของโรงพยาบาลในการส่งเสริมการปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็กของผู้ดูแล
2. นำไปวางแผนทางการพยาบาลในด้านการปฏิบัติการพยาบาล โดยส่งเสริมการจัดการให้ผู้ดูแลมีการรับรู้อุปสรรคและการรับรู้ความรุนแรงของโรคในการปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็กของผู้ดูแล เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถควบคุมและป้องกันการเกิดอาการชักในเด็กได้
ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรมีการศึกษาการศึกษาวิจัยเชิงทดลองโดยการใช้ตัวแปร การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรม และการรับรู้ความรุนแรงของโรค เพื่อศึกษาว่าว่าตัวแปรที่กล่าวข้างต้นจะสามารถทำให้การปฏิบัติการป้องกันอาการชักเพิ่มขึ้นหรือไม่
2. ควรศึกษาในลักษณะของโรงพยาบาลที่เป็นทุติยภูมิ หรือในโรงพยาบาลชุมชน เพื่อดูความแตกต่างของการปฏิบัติการป้องกันอาการชักในเด็กของผู้ดูแล
เอกสารอ้างอิง
ไกรวรร กาพันธ์, ศรีพรรณ กันธวัง และอุษณีย์ จินตะเวช. (2553). การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการดูแลเด็กที่มีความเจ็บป่วยวิกฤต ในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง.พยาบาลสาร, 37(3), 62-75.
จริญญา โคตรชนะ. (2552). ผลของการให้กลุ่มสนับสนุนทางสังคมต่อศักยภาพการอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยก่อนเรียน และความเครียดของย่ายายในอำเภอภูเวียง จ. เลย. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลครอบครัว บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ทัศนียา วังสะจันทานนท์ และอ้อมจิต ว่องวาณิช. (2555). ประสบการณ์ของมารดาและการจัดการภาวะไข้ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี. วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ, 30(4), 117-123.
ลัดดา อิ่มทองใบ. (2543). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมารดาในการดูแลและป้องกันการกลับเป็นซ้ำโรคหอบหืดของบุตรอายุ 1-5 ปี ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล. ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สุธรรม นันทมงคลชัย. (2547). การอบรมเลี้ยงดูเด็กของครอบครัวไทย: ข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
อนันต์นิตย์ วิสุทธิพันธ์. (2554). ตำราโรคลมชักในเด็ก. กรุงเทพมหานคร. ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. โฮลิสติก พับลิชชิ่ง.
Bandura , A. (1997). Self-efficacy : The exercise of control. New York : W.H. Free man and Company.
Becker, M.H. (1974). The health belief model and personal health behavior. New Jersey: Charles B. Slack , Inc.
Chung, B., Wat, L. C., & Wong, V. (2006). Febrile seizures in southern Chinese children: Incidence and recurrence. Pediatric Neurology, 34(2), 121-126.
DiIorio, C. et al. (2004). Project EASE : A study to test a psychosocial model of epilepsy medication management. Epilepsy & Behavior, 5, 926-936.
Glanz, K., Rimer, B. K., & Viswanath, K. (2008). Health behavior and health education: Theory, research, and practice: John Wiley & Sons.
Kerr, C., Nixon, A., & Angalakuditi, M. (2011). The impact of epilepsy on children and adult patients’ lives: Development of a conceptual model from qualitative literature. Seizure, 20(10), 764-774.
Lv, R., Wu, L., Jin, L., Lu, Q., Wang, M., Qu, Y., & Liu, H. (2009). Depression, anxiety and quality of life in parents of children with epilepsy. Acta Neurologica Scandinavica, 120(5), 335-341.
National Institute for Health and Care Excellence. (2013). Feverish Illness in Children: Assessment and Initial Management in Children Younger than 5 Years. Clinical guideline No. 160. NICE, London.
Piaget, J. (1973). The child and reality. New York: Grossman publishers.
Polit, D.F. (2010). Statistics and data analysis for nursing research. (2nd ed.). Boston: Pearson.
Rosado, D., Seidenberg, M., Hermann, B., & Jones, J. (2013). Parental Perception of Seizure Severity in New-Onset Childhood Epilepsy. Clinical Neuropsychology,1, 41-42.
Russ, S. A., Larson, K., & Halfon, N. (2012). A national profile of childhood epilepsy and seizure disorder. Pediatrics, 129(2), 256-264.
Sajadi Hazaveh, M., & Shamsi, M. (2011). Assessment of mothers’ behavior in preventing febrile convulsion in their children in Arak City: An application of Health Belief Model. Journal of Jahrom University of Medical Sciences, 9(2), 34-41.
Wagner, J. L., Smith, G. M., Ferguson, P. L., & Wannamaker, B. B. (2009). Caregiver perceptions of seizure severity in pediatric epilepsy. Epilepsia, 50(9), 2102-2109.
Walsh, A., Edwards, H., & Fraser, J. (2007). Influences on parents’ fever management: Beliefs, experiences and information sources. Journal of Clinical Nursing, 16(12), 2331-2340

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2017-12-31

รูปแบบการอ้างอิง

อนุกูลวรรธกะ ณ., อารีย์ พ., & ล่ามช้าง ส. (2017). ปัจจัยทำนายการปฏิบัติป้องกันอาการชักในเด็กของผู้ดูแล. พยาบาลสาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 44(4), 1–12. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/cmunursing/article/view/135572

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย