การมีส่วนร่วมของผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยงในการดูแลเด็กป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชุมชน

ผู้แต่ง

  • ศรันย์ ปองนิมิตพร อาจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเชียงราย
  • สุธิศา ล่ามช้าง รองศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • ศรีมนา นิยมค้า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คำสำคัญ:

การมีส่วนร่วมของผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยง, ผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยง, เด็กป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ

บทคัดย่อ

การติดเชื้อทางเดินหายใจเป็นปัญหาสำคัญในเด็กชาวกระเหรี่ยงที่ทำให้เด็กต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชุมชน การศึกษาเชิงพรรณนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมที่ได้ปฏิบัติ และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความต้องการมีส่วนร่วมและการมีส่วนร่วมที่ได้ปฏิบัติของผู้ดูแลชาวกระเหรี่ยงในการดูแลเด็กป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจในโรงพยาบาลชุมชน  กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยงที่ดูแลเด็กป่วยอายุแรกเกิดถึง 5 ปีที่ติดเชื้อทางเดินหายใจและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ระหว่างเดือน มกราคม ถึง มีนาคม พ.ศ. 2557 โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 140 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินการมีส่วนร่วมของผู้ดูแลในการดูแลเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของเชปป์ (Schepp, 1995) แปลเป็นภาษาไทยด้วยการแปลย้อนกลับ (back translation) โดยณิชกานต์ ไชยชนะ  ศรีพรรณ กันธวัง  และนันทา เลียววิริยะกิจ (2546) ซึ่งนำมาแปลเป็นภาษากะเหรี่ยง นำมาทดสอบความเชื่อมั่นโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ ครอนบาค (Cronbach’s alpha Coefficient: α) ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินความต้องการมีส่วนร่วมและการมีส่วนร่วมที่ผู้ดูแลได้ปฏิบัติ .87 และ.88 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา การทดสอบที การทดสอบวิลคอกซัน และการวิเคราะห์เนื้อหา

ผลการศึกษา พบว่า ผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยง มีค่าเฉลี่ยคะแนนความต้องการการมีส่วนร่วมในระดับมาก (= 76.87, SD = 0.97) และผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยงมีค่าเฉลี่ยคะแนนการมีส่วนร่วมที่ได้ปฏิบัติโดยรวมในการดูแลเด็กป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชุมชนในระดับมาก (= 75.86, SD = 11.73) โดยการมีส่วนร่วมของผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยงที่ได้ปฏิบัติและความต้องการการมีส่วนร่วมของผู้ดูแลชาวกระเหรี่ยงในการดูแลเด็กป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจโดยรวม ด้านกิจกรรมที่ทำประจำ ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล และด้านการตัดสินใจไม่แตกต่างกัน แต่ด้านกิจกรรมการพยาบาล มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ พบว่า ผู้ดูแลชาวกระเหรี่ยงได้ปฏิบัติการมีส่วนร่วมในด้านกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ โดยตระหนักว่าเป็นหน้าที่ของตนเอง ได้แสดงบทบาทเป็นบิดาและมารดาอย่างต่อเนื่อง และมีนโยบายของโรงพยาบาล และมีความต้องการที่จะปฏิบัติการมีส่วนร่วม ดังนี้ 1) ด้านกิจกรรมที่ทำประจำ คือ ต้องการทำตามวิถีประจำวัน และตามความเชื่อของตนเอง 2) ด้านกิจกรรมการพยาบาล คือ ความต้องการปฏิบัติภายใต้การดูแลหรือคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ และช่วยเหลือบางช่วงของการทำหัตการ และ 3) ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและด้านการตัดสินใจ คือ ต้องการให้มีล่าม และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาเด็กป่วยทุกเรื่อง

ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้แนะให้บุคลากรพยาบาลควรตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยโรคทางเดินหายใจที่ผู้ดูแลได้ปฏิบัติและต้องการจะปฏิบัติ โดยเฉพาะควรจัดหาล่ามมาช่วยเหลือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ดูแลและบุคลากรทางการพยาบาล และสามารถนำผลวิจัยที่ได้ไปใช้เป็นข้อมูลในการหาแนวทางส่งเสริมให้ผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยงมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยที่มีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชุมชนต่อไป

เอกสารอ้างอิง

กรมพัฒนาการสังคมและสวัสดิการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ . (2555).กะเหรี่ยง. เชียงใหม่ : สำนักส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10 จังหวัดเชียงใหม่.
ณิชกานต์ ไชยชนะ, ศรีพรรณ กันธวัง, และนันทา เลียววิริยะกิจ. (2546). การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองใน
การดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังขณะรับการรักษาในโรงพยาบาล. พยาบาลสาร, 30(4),
58-71.
นิตยา คชภักดี. (2554). พัฒนาการเด็ก. ใน ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย, รวิวรรณ รุ่งไพวัลย์, ชาคริยา ธีร เนตร,อดิศร์สุดา เฟื่องฟู, สุรีลักษณ์ สุจริตพงศ์, และพงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ (บรรณาธิการ), ตำราพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กทั่วไปสำหรับเวชปฏิบัติทั่วไป (หน้า 205-218). กรุงเทพมหานคร: บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์.
ปทุมพร เตชะ. (2547). การดูแลเด็กที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจของชาวเขา เผ่า
กะเหรี่ยง. การค้นคว้าอิสระ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข.(2552).สรุปรายงานการป่วย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์.
แสงตะวัน บุญรอด.( 2553). ผลของโปรแกรมการพยาบาลโดยให้ครอบครัวมีส่วนร่วมต่อ ความสามารถและความพึงพอใจของผู้ดูแลเด็กป่วยเฉียบพลัน. วิทยานิพนธ์พยาบาล ศาสตรมหา
บัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลเด็ก, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา.
สุจิรา ศรีรัตน์ และจริยา สายวารี. (2551). ความต้องการและการได้รับการตอบสนองความต้องการของ
มารดาผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาในหออภิบาลผู้ป่วยเด็กโรงพยาบาลสงขลานครินทร์. สงขลานครินทร์เวชสาร, 26(5), 481-489.
อรพร ปัญญะ,สุธิศา ล่ามช้าง, และวิมล ธนสุวรรณ. (2548).ความต้องการของผู้ปกครองชาวกะเหรี่ยง
ของเด็กป่วยโรคมาลาเรียที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล. พยาบาลสาร 32(3), 86-98.
อมรรัชช์ งามสวย และฐิติมาสุขเลิศตระกูล. (2551). ผลกระทบของความเจ็บป่วยและการอยู่โรงพยาบาล
ต่อผู้ป่วยเด็ก. ในมาลี เอื้ออำนวย, สุธิศา ล่ามช้าง และจรัสศรี เย็นบุญ (บรรณาธิการ), การพยาบาล
เด็ก เล่มที่1 (หน้า 15-32 ). เชียงใหม่: บริษัท นันทพันธ์ พริ้มติ้ง จำกัด.
Glacia de Lima, R.A., Melo Rocha, S.M., Scochi, C.G.S., & Callery, P. (2001). Involvement and fragmentation: A study of parental care of hospitalized children in Brazil.Pediatric Nursing, 27,
559-564
Hockenberry M. J., & Wilson, D. (2007). Wong’s nursing care of infants and children (8th ed.).St. Louis: Mosby.
Schepp, K. (1995). Psychometric assessment of the preferred participation scale for parent of hospitalized children. Unpublished manuscript, University of Washington, School of Nursing, Seattle, WA.
United Nations Children Fund[UNICEF] & Wolrd Health Organization [WHO]. (2009). Pneumonia the
forgotten killer of children. Retrieved December 20, 2011, from
http://www.childinfo.org/pneumonia.html
Wheeler, H.J. (2005). The importance of parental support when caring for the acutely illchild. Nursing in
Critical Care, 10(2), 56-62.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2017-12-31

รูปแบบการอ้างอิง

ปองนิมิตพร ศ., ล่ามช้าง ส., & นิยมค้า ศ. (2017). การมีส่วนร่วมของผู้ดูแลชาวกะเหรี่ยงในการดูแลเด็กป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชุมชน. พยาบาลสาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 44(4), 13–23. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/cmunursing/article/view/135593

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย