ผลของโปรแกรมสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ต่อความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาล
คำสำคัญ:
โปรแกรมสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์, ความฉลาดทางอารมณ์, นักศึกษาพยาบาลบทคัดย่อ
ความฉลาดทางอารมณ์เป็นความสามารถทางอารมณ์ที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์และมีความสุข การสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ให้แก่นักศึกษาพยาบาลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองที่มีกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 1 จำนวน 52 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 26 ราย และกลุ่มควบคุม 26 ราย โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ดำเนินการวิจัยในระหว่างเดือน มีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม 2560 โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ กลุ่มควบคุมไม่ได้รับโปรแกรม เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา สถิติแมนน์-วิทนีย์ ยู และสถิติวิลคอกซัน
ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ของกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์มีค่าสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าเฉลี่ยคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ของกลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์มีค่าสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001
ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์สามารถช่วยทำให้ความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาลอยู่ในระดับที่สูงขึ้น จึงควรมีการสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการจัดการเรียนการสอนปกติ
เอกสารอ้างอิง
. (2550). คู่มือการจัดกิจกรรม “ฝึกการคิดแก้ปัญหาพัฒนา EQ”สำหรับศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่น.พิมพ์ครั้งที่ 7. นนทบุรี : ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเชียงราย. หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต(ฉบับปรับปรุง)พ.ศ. 2555. เอกสารอัดสำเนา.
เทอดศักด์ เดชคง.(2546).ความฉลาดทางอารมณ์จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์มติชน.
พรรณวิไล ศรียาภรณ์, ปิยะนุช ชูโต, บังอร ศุภวิทิตพัฒนา และกัลยาณี ตันตภนนท์. (2556). การพัฒนาการเรียนรู้เชิงประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาลในระยะหลังคลอดของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4. พยาบาลสาร, 40(1),74-88.
วนิดา ชนินทยุทธวงศ์.(บรรณาธิการ).(2543).คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม.นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น.
วรรณนภา ด่านธนวานิช. (2556). รายงานการวิจัย เรื่องผลของโปรแกรมพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ต่อความฉลาดทางอารมณ์ของวัยรุ่น. วารสารโรงพยาบาลพิจิตร,28(1),50-61.
วิไล เกิดผล และพิเชษฐ เรืองสุขสุด.(2553). รายงานการวิจัย เรื่องผลของการพัฒนาทักษะชีวิตต่อความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาล.วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ,33(1),10-21.
วิลัยพร นุชสุธรรม. (2559). รายงานการวิจัย เรื่องความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเชียงราย. วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน,4(4),505-519.
สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ.(2547).19 วิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ.กรุงเทพมหานคร : ภาพพิมพ์.
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2556). แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อุษณีย์ เทพวรชัย, ประภารัตน์ ทวีเกียรติตระกูล และเพ็ญพรรณ ขจรศิลป์. (2550). กิจกรรมการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์สำหรับนักศึกษาพยาบาล.วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ,1(1),10-16.
Burns N. & Grove S. (2009)The Practice of Nursing Research: appraisal, synthesis, and generation of evidence (6thed.). St. Louis: W. B. Saunders.
Charoensukmongkol P. (2014). Benefits of Mindfulness Meditation on Emotional Intelligence General Self-Efficacy and Perceived Stress : Evidence from Thailand, Journal of Spirituality in Mental Health,Retrieved form http://www.tandfonline.com/loi/wspi20.
Kolb DA, Rubin IM, Osland JS. (1991). Organizational Behavior An Experiential approach. (5thed.). Engle weed : Prentice hall.
Polit DF. & Hungler BP.(1999).Nursing research principle and method. (6thed.). Philadelphia : Lippicott William & Wilinks.
Hamer LO. (2000). The additive effects of semi - structured classroom activities on student learning : An application of classroom – based experiential learning techniques. Journal of marketing education, 22(1),25-34.
Goleman D. (1998). Working with Emotional Intelligence. New York : Bantom books.
Translated Thai References
Chanintayutwong W. (Editor).(2000). Participatory Training Manual. Nonthaburi: Wongkamol Productions.
Dantanvanich W. (2013). Effect of Emotional Quotient Enhancement Program on Emotional Quotient of Adolescent. Journal of Pichit Hospital, 28 (1), 50-61.
Dechkong T. (2003). Emotional Quotient from theory to practice. (2nd ed.). Bangkok : Matichon Publishing.
Department of Mental Health, Ministry of Public Health.(2007). EQ : Emotional Quotient. (4thed.). Nonthaburi: Agricultural Cooperative Society of Thailand.
. (2007). Activity Guide "Developmental problem solving EQ” for Friend Corner (7thed.). Nonthaburi : Agricultural Cooperative Society of Thailand.
Faculty of Nursing Chiang rai College. Bachelor of Nursing Program (Revised Edition) 2012. Copier documentation.
Kirdpole W. and Reungsuksud P. (2010). Effects of Life Skills Development on Emotional Quotient Among Nursing Students. Journal of Nursing Science of Health, 33(1),10-21.
Mulkum S. and Mulkum O. (2004) .19 How to Manage Learning to Improve Knowledge and Skills. Bangkok : Phapphim.
Nuchsutham W. (2016). Emotional Quotient of Nursing Students, Faculty of Nursing Chiang rai College. Community Health Development Quarterly,4(4),505-519.
Office of the Higher Education Commission. (2013) Higher Education Development Plan No. 11 (2012-2016). Bangkok: Chulalongkorn University Printing House.
Sriareporn P, Xuto P, Supavititpatana B and Tantranont K. (2013). Development of Experienced Learning Activities for the Moral and Ethical Promotion During Practicing in Postpartum Care of the Fourth Year Nursing Students. Nursing Journal, 40(1),74-88.
Tepworachai A, Tawegiattragoon P, and Kajornsil P. (2007). Emotional Quotient Development Activities for Nursing Students. Journal of Health Science.1(1),10-16.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว