ผลของการโค้ชต่อความรู้และการปฏิบัติของพยาบาลในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้สูงอายุในสถานดูแลระยะยาว

ผู้แต่ง

  • อิฏฐาพร คำกุ้ม พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ จังหวังหวัดกรุงเทพ
  • นงเยาว์ เกษตร์ภิบาล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • จิตตาภรณ์ จิตรีเชื้อ รองศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คำสำคัญ:

การโค้ช, ความรู้, การปฏิบัติ, พยาบาล, การป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ

บทคัดย่อ

การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุในสถานดูแลระยะยาว ดังนั้นพยาบาลผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลจึงควรมีความรู้และทักษะการปฏิบัติเพื่อการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการโค้ชต่อความรู้และการปฏิบัติของพยาบาลในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้สูงอายุในสถานดูแลระยะยาว ระหว่างเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2557 ถึง เดือน มกราคม พ.ศ. 2558 กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในสถานดูแลระยะยาวจำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรู้ แบบสังเกตการปฏิบัติ แผนการโค้ชและคู่มือการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบค่าที และสถิติไคสแควร์

          ผลการศึกษา พบว่าพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะหลังการโค้ชมากกว่าก่อนการโค้ชอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) และสัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะหลังการโค้ชมากกว่าก่อนการโค้ช อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05)

การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า การโค้ชทำให้พยาบาลมีความรู้และการปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะในสถานดูแลระยะยาวเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้มีการนำรูปแบบการโค้ชไปใช้ในการเพิ่มความรู้และทักษะการปฏิบัติในกิจกรรมการพยาบาลอื่นๆ

เอกสารอ้างอิง

กำธร มาลาธรรม, และสุสัณห์ อาศนะเสน. (2556). คู่มือปฏิบัติการป้องกันและการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ: สถาบันบำราศนราดูร.
กิตติกา กาญจนรัตนากร. (2553). การพิจารณาขนาดตัวอย่างและกำลังของการทดสอบ (Sample Size Deterimination and Power of the Test). ใน ธีระพร วุฒยวณิช, นิมิตร มรกต และกิตติกา กาญจนรัตนากร (บรรณาธิการ), วิจัยทางการแพทย์ (พิมพ์ครั้งที่ 2, หน้า 185-202). เชียงใหม่: สันติภาพแพ็คพริ้นท์ จำกัด.
จรวย ทะแกล้วพันธ์. (2538). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการติดเชื้อในโรงพยาบาลของระบบทางเดินปัสสาวะ
ในผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลลำปาง. (วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลด้านการควบคุมการติดเชื้อ). บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ทิศนา แขมณี. (2547). ศาสตร์การสอน (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์.
ปิยะพรรณ วงศ์ทา. (2551). ผลของการส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์ในการป้องกันการติดเชื้อต่อการปฏิบัติของบุคลากรสุขภาพและอุบัติการณ์การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะจากการใส่คาสายสวนปัสสาวะในโรงพยาบาลทั่วไป (วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลด้านการควบคุมการติดเชื้อ). บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
เปรมฤดี พันชาติ. (2546). ผลกระทบของการติดเชื้อในโรงพยาบาลของผู้สูงอายุ. พยาบาลสาร, 30(1), 83-96.
เฮอร์มีเนีย ไอบาร่า. (2550). การสอนงาน ปรึกษาและดูแล แปลและเรียบเรียงโดย กมลวรรณ รามเดชะ. กรุงเทพฯ: เอ็กซเปอร์เน็ท.
Cotter, M., Donlon, S., Roche, F., Byrne, H., & Fitzpatrick, F. (2012). Healthcare-associated infection in Irish long-term care facilities: results from the First National Prevalence Study. Journal Hospital of Infection, 80(3), 212-216.
Dwyer, L. L., Harris-Kojetin, L. D., Valverde, R. H., Frazier, J. M., Simon, A. E., Stone, N. D., & Thompson, N. D. (2013). Infection in long-term care populations in the United States. Journal American Geriatrics Society, 61(3), 342-349.
Healthcare Infection Control Practice Advisory Committee. (2009). Guideline for Prevention of Catheter-associated Urinary Tract Infections 2009. Retrieved From http://www.cdc.gov/ hicpac/pdf/cauti/cautiguideline2009final.pdf.
Matthews, S. J. & Lancaster, J. W. (2011). Urinary Tract Infection in the Elderly Population. The
American Journal of Geriatric Pharmacotherapy, 9(5), 286-309.
McNulty, C. A., Bowen, J., Foy, C., Gunn, K., Freeman, E., Tompkins, D.,… Smith, G. E. (2006). Urinary catheterization in care homes for older people: self-reported questionnaire audit of catheter management by care home staff. American Journal of Infection Control, 62(1), 29-36.
Mody, L., Saint, S., Galecki, A., Chen, S., & Krein, S. (2010). Knowledge of Evidence-Based Urinary Catheter Care Practice Recommendations Among Healthcare Workers in Nursing Homes. Journal of the American Geriatrics Society, 58(8), 1532-1537.
Sorbey, L. W., Finne-Soveri, H., Ljunggren, G., Topinkova, E., & Bernabei, R. (2005). Indwelling
Catheter use in home care: Elderly, aged 65+, in 11 different countries in Europe. Age and Ageing, 34(4), 377-381.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2017-12-31

รูปแบบการอ้างอิง

คำกุ้ม อ., เกษตร์ภิบาล น., & จิตรีเชื้อ จ. (2017). ผลของการโค้ชต่อความรู้และการปฏิบัติของพยาบาลในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้สูงอายุในสถานดูแลระยะยาว. พยาบาลสาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 44(พิเศษ(1), 1–10. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/cmunursing/article/view/148006

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย