การพัฒนาชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
คำสำคัญ:
การพัฒนาชุดความรู้, การจัดอาหารไทยภาคเหนือ, ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานบทคัดย่อ
การควบคุมอาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ การศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ศึกษาความเป็นไปได้ของการใช้ชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และเปรียบเทียบคะแนนความรู้ก่อนและหลังการใช้ชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โดยใช้หลักการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของ Kolb (1984) ได้แก่ การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ร่วมกับการใช้กระบวนการกลุ่ม แบ่งการศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะวิเคราะห์สถานการณ์ ระยะดำเนินการ และระยะประเมินผล
ผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ในระยะวิเคราะห์สถานการณ์ มีกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 16 คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขผู้เชี่ยวชาญโรคเบาหวาน จำนวน 8 ราย และผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน จำนวน 8 ราย สำหรับระยะดำเนินการและระยะประเมินผล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน จำนวน 32 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แนวสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แนวคำถามในการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามความเป็นไปได้ของการใช้ชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน แบบประเมินความรู้ในจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ประกอบด้วย 1) รายการอาหารไทยภาคเหนือ และ 2) สื่อการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือ “เมนูสุขภาพบำบัดเบาหวานด้วยอาหารพื้นเมือง”
ผลการวิจัย พบว่า
เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานก่อนและหลังการใช้ชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน 1 เดือน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<.05) โดยคะแนนความรู้ภายหลังการนำชุดความรู้ฯ ไปใช้สูงกว่าก่อนการนำชุดความรู้ฯ ไปใช้ และผลของความเป็นไปได้ของการใช้ชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
ภายหลังจากผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้นำชุดความรู้ในการจัดอาหารไทยภาคเหนือไปทดลองใช้ 1 เดือน พบว่า ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีความคิดเห็นว่า ชุดความรู้ฯ สามารถนำไปใช้ได้ง่าย อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 87.5 ชุดความรู้ฯ มีความชัดเจนของเนื้อหาในด้านปริมาณ อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 90.6 ด้านการเลือกซื้อ ด้านการปรุง และด้านความถี่ อยู่ในระดับมากอย่างละเท่ากัน คิดเป็นร้อยละ 87.5 ชุดความรู้ฯ มีความเหมาะสมที่จะให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานนำไปใช้ อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 90.6 ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่จะนำชุดความรู้ฯไปใช้สามารถซื้อหรือจัดหาเพื่อนำมาใช้ในการจัดอาหารได้ คิดเป็นร้อยละ 81.3 และชุดความรู้ฯ มีความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้ในทางปฏิบัติ อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 87.5
ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งนี้สามารถนำชุดความรู้ฯ ไปพัฒนาและใช้ดำเนินการต่อในชุมชนที่มีบริบทใกล้เคียงกันในภาคเหนือ
เอกสารอ้างอิง
Anderson, J. W., Baird, P., Ferreri, S., Knudtson, M., Koraym, A., Waters, V., & Williams, C. L. (2009). Health benefits of dietary fiber. Nutrition Reviews, 67(4), 188-205.
Andres, P. (2013). Capacity building on school wastes management among student leaders byparticipatory learning (Master’s thesis, Chiangmai University). (In Thai)
Arbsuwan, N. (2015). Campaign substance issues world diabetes day 2015 (fiscal year 2016).Retrieved from www.thaincd.com/document/ประเด็นสาร วันเบาหวานโลก2558.doc (In Thai)
Budda, D. (2016). Development of eating pattern for people with uncontrolled hypertension using family participation approach. Nursing Journal, 46 (supplement), 36-48. (In Thai)
Department of Mental Health. (2000). Participatory training manual. Bangkok: Office of Mental Health Development, Ministry of Public Health. (In Thai)
Department of Mental Health. (2001). Manual for organizing learning group activities for health behavior adjustment for the diabetes clinic. Retrieved from http://www.km.dmh.go.th/km/view.asp?id=48 (In Thai)
Diabetes Association American. (2009). Standards of medical care in diabetes-2009.Retrieved from https://doi.org/10.2337/dc09-S013
Jansiri, K. (2005). Local food, rice and blood sugar level of non-insulin dependent diabetes mellitus patients (Master’s thesis, Chiangmai University). (In Thai)
Kitcharoenchai, R. (2013). The effectiveness of a nutritional self-management program on food consumption behaviors, HbA1C, and body mass index in persons wi th type 2 diabetes (Master’s thesis, Burapa University). (In Thai)
Kolb, D. A. (1984). Experiential learning: Experience as the source of learning and development Vol. 1. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.
Mapakdee, P. (2008). Effects of using the participatory learning program and telephone visit onknowledge, self-care behaviors, and blood sugar level among gestational diabetic women (Master’s thesis, Chiangmai University). (In Thai)
Nato, S., Vannarit, T., & Somrarnyart, M. (2015). Effects of self-management promotion through diabetic camp participation on glycemic control behaviors and h emoglobin A1C level among persons with type 2 diabetes. Nursing Journal, 43 (4), 92–104. (In Thai)
Suriya, J. (2013). Development of caregiver capacity by community participation in screening for dementia among older persons. Nursing Journal, 46 (2), 47-58. (In Thai)
Saktamnu, P. (2016). Fiber nutritional value, diseases prevention and treatment. Bangkok: Ruamtas. (In Thai)
Saroottanachareon, U. (2014). Developing the capacity of caregivers in health promotion for diabetic patients By using the participation process. Kuakarun journal of nursing, 21 (1), 57–69. (In Thai)
Teerasiri, L. (2009). Indigenous vegetables against diseases self healing natural set. Bangkok: Ruamtas. (In Thai)
Srimuang, P. (2006). Nutrition. Bangkok: Suan Dusit University.
Usay, P., Muangsom, N., & Kowi, P. (2012). Factors associated with glycemic control among type2diabetes mellitus patients attending Tambon Health Promotion Hospitals within the Banphai Hospital’s Catchment Area, Khon Kaen Province. KKU Journal for Public Health Research, 5 (3), 11-20. (In Thai)
World Health Organization. (2015). Diabetes. Retrieved from http://www.who.int/mediacentre/factsheet/fs312/en/
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว