การประยุกต์แนวคิดลีนในการปรับปรุงกระบวนการจำหน่ายสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 3 โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก
คำสำคัญ:
การประยุกต์แนวคิดลีน, กระบวนการจำหน่าย, ผู้ป่วยทารกแรกเกิดบทคัดย่อ
การปรับปรุงกระบวนการให้บริการโดยใช้แนวคิดลีนทำให้การบริการแก่ผู้รับบริการมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว การศึกษาค้นคว้าแบบอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกระบวนการจำหน่ายสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด ในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 3 โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก โดยใช้แนวคิดลีน ของ Womack & Jones (2003) ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจำหน่ายผู้ป่วยทารกแรกเกิดจำนวน 20 คน และกิจกรรมการจำหน่ายผู้ป่วยทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 3 ระหว่าง เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม 2560 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ 1) ตารางอธิบายลักษณะกิจกรรมของกระบวนการจำหน่าย 2) แบบฟอร์มการระบุคุณค่าของกิจกรรม 3) แบบบันทึกเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมการจำหน่าย และ4) แนวคำถามการประชุมกลุ่มเกี่ยวกับปัญหาและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกระบวนการจำหน่าย โดยเครื่องมือได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน และได้ทดสอบความเที่ยงของแบบการสังเกตจากผู้สังเกต 2 คน(inter-rater)ในการบันทึกเวลาเท่ากับ 1.0 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา
ผลการศึกษา พบว่า
- กระบวนการจำหน่ายสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 3 หลังจากปรับปรุงโดยใช้แนวคิดลีนประกอบด้วย 5 กิจกรรมหลักและ 15 กิจกรรมย่อย ซึ่งลดลงจากกระบวนการก่อนการปรับปรุงที่มีทั้งหมด 23 กิจกรรมย่อย
- เวลามาตรฐานที่ใช้ในกระบวนการจำหน่ายสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม3 ที่ปรับปรุงโดยใช้แนวคิดลีนเท่ากับ 43.47 นาที ซึ่งลดลงจากเวลามาตรฐานก่อนการปรับปรุงกระบวนการซึ่งเท่ากับ 135.02 นาที
- ปัญหาการของการประยุกต์แนวคิดลีนในกระบวนการจำหน่ายสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 3 ได้แก่ 1) การรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดลีนของบุคลากรแตกต่างกัน 2) คอมพิวเตอร์เก่าและโปรแกรมการใช้งานไม่เสถียร 3) กระบวนการที่ลีนบางอย่างมีความยากในการปฏิบัติในขณะที่มีภาระงานมาก และข้อเสนอแนะได้แก่ จัดทำแผนพัฒนาความรู้เกี่ยวกับแนวคิดลีนแก่บุคลากรอย่างต่อเนื่อง เสนอให้ผู้บริหารรับทราบเกี่ยวกับปัญหาของคอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่ใช้งาน และจัดอัตรากำลังบุคลากรให้เหมาะสมกับภาระงาน
ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การปรับปรุงกระบวนการจำหน่ายสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิดโดยประยุกต์แนวคิดลีน สามารถลดกิจกรรมและระยะเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ดังนั้นผู้บริหารสามารถนำผลการศึกษาที่ได้ไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพการบริการของกิจกรรมบริการอื่นๆ ในองค์กรต่อไป
เอกสารอ้างอิง
Barnes, R. M. (1958). Motion and Time Study (4th ed.). New York: John Wiley & Sons.
Hobson, K. (2007). Lean management systems: A case study in reducing waiting lists. Ultrasound, 15(1), 31-34.
Jirapaet, K. (2008). Principles of basic newborn care. Bangkok: The War Veterans Organization of Thailand Print. (In Thai)
Joosten, T., Bongers, I., & Janssen, R. (2009). Application of lean thinking to health care: issues And observations. International Journal for Quality Health Care, 21 (5), 341-347.
Maloney, C. G., Wolfe, D., Geteland, P. H., Hales, J. W., & Nkoy, F. L. (2007). A Tool for Improving Patient Discharge Process and Hospital Comunication Practices: the Patient Tracker. AMIA Sumposium Proceeding, 493-497. (In Thai)
Pediatric Ward 3, Buddhachinaraj Phitsanulok Hospital. (2015). Report of Key Performance Indicator Pediatric Ward 3, 2015. Phitsanulok: Pediatrics Working Group Buddhachinaraj Phitsanulok. (In Thai)
Pediatric Ward 3 Buddhachinaraj Phitsanulok Hospital. (2016). Report of Key Performance Indicator Pediatric Ward 3, 2016. Phitsanulok: Pediatrics Working Group Buddhachinaraj Phitsanulok. (In Thai)
Rijiravanich, V. (2010). Work Study and Office of Academic Resources (7th Ed.). Bangkok: Chulalongkorn University Press. (In Thai)
Senadisai, S. , & Arpanantikul, M. (2009). Nursing practice Manual Guides. Bangkok: Judtong print. (In Thai)
Srisawat, S. (2012). Development of a model for newborn discharge management in obstetricunit, Maharaj Nakorn Chiang Mai hospital (Independent Study, Chiangmai University). (In Thai)
Supachutikul, A. (2009). Lean and seamless healthcare: The Health care Accreditation Institute(Public Organization). Nonthaburi: Publishing D-One Book Company Co., Ltd. (In Thai)
Taleghani, M. (2010). Success and Failure Issues to Lead Lean Manufacturing Implementation.World Academy of Science, Engineering and Technology, 615-618.
Thampanichawat, W. (2010). Nursing of high-risk newborn babies. Bangkok: Textbook Project,Faculty of Nursing, Mahidol University. (In Thai)
Norkaew, W. (2010). Development of model for patient discharge management in privat e ward 2, Maharaj Nakorn Chiang Mai hospital (Independent Study, Chiangmai University). (In Thai)
Wolf, L. (2008). Discharge process improvement: A case study by Barnes-Jewish Hospital of St.Louis. Retrieved from https://silo.tips/download/discharge-process-improvement-a-case-study-by-barnes-jewish-hospital-of-st-louis
Womack, J. P., & Jones, D. T. (2003). Lean Thinking: Banish Waste and Create Wealth in Your Corporation. New York: Simon & Schuster Press.
Worley, J. M., & Doolen, T. L. (2006). The role of communication and management support in a lean manufacturing implementation. Management Decision, 44 (2), 228-245.
Yang, P., & Yu, Y. (2010). The Barriers to SMEs’ Implementation of Lean Production andCountermeasures Based on SMEs in Wenzhou. International Journal of Innovation, Management and Technology, 1 (2), 220-225.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว