การเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ในการป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติใหม่
คำสำคัญ:
การเตรียมความพร้อม, โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ, โรคติดเชื้ออุบัติใหม่บทคัดย่อ
โรคติดเชื้ออุบัติใหม่มีการระบาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โรงพยาบาลควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลระดับตติยภูมิในการป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก ประกอบด้วยการเตรียมความพร้อมทั้งหมด 13 ด้าน ประชากรที่ศึกษา คือ หัวหน้าพยาบาลควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิจำนวน 49 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วยแบบสอบถามการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลระดับตติยภูมิในการป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ .89 ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ได้รับแบบสอบถามที่สมบูรณ์คืน 41 ฉบับคิดเป็นร้อยละ 83.7 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา
ผลการศึกษาพบว่า โรงพยาบาลระดับตติยภูมิมีการดำเนินการเตรียมความพร้อมในการป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติใหม่มากที่สุด ได้แก่ ด้านการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อตามหนทางการแพร่กระจายเชื้อ (ร้อยละ 100) รองลงมาได้แก่ ด้านการรับรู้การเกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (ร้อยละ 98.6) ด้านการจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ (ร้อยละ 96.9) ด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (ร้อยละ 93.6) ด้านการจัดสถานที่สำหรับทำหัตถการที่ทำให้เกิดฝอยละอองขนาดเล็ก (ร้อยละ 92.7) ด้านการดูแลสุขภาพบุคลากรการแพทย์ (ร้อยละ 88.) ด้านการให้คำแนะนำแก่สมาชิกในครอบครัวและผู้เข้าเยี่ยม (ร้อยละ 85.4) ด้านการจัดบริเวณจุดคัดกรองผู้ป่วยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (ร้อยละ 83.7) ด้านการกำหนดระยะเวลาในการควบคุมการติดเชื้อและการจำหน่ายผู้ป่วย (ร้อยละ 83.4) และด้านการจัดให้ผู้ป่วยอยู่รวมกันและมาตรการพิเศษ (ร้อยละ 79.7) สำหรับการดำเนินการเตรียมความพร้อมในการป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่น้อยที่สุด 3 ด้านได้แก่ ด้านการจัดสถานที่สำหรับผู้ป่วยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ด้านการเก็บสิ่งส่งตรวจ และด้านการจัดการศพผู้ติดเชื้ออุบัติใหม่ร้อยละ 78.6 77.4 และ 67.7 ตามลำดับ
ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ คือ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิควรมีการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้ออุบัติใหม่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านการจัดสถานที่สำหรับผู้ป่วยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ควรมีการจัดสถานที่สำหรับผู้ป่วยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่ได้มาตรฐาน ด้านการเก็บสิ่งส่งตรวจ ควรมีการจัดพื้นที่เฉพาะในการเก็บสิ่งส่งตรวจที่เป็นสัดส่วน มีการจัดอบรมเกี่ยวกับการเก็บ และส่งสิ่งส่งตรวจที่ถูกต้องสำหรับบุคลากรการแพทย์ และด้านการจัดการศพผู้ติดเชื้ออุบัติใหม่ ควรมีการจัดทำแนวปฏิบัติในการชันสูตรศพผู้ติดเชื้ออย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลให้มีคุณภาพ การศึกษาครั้งต่อไปควรศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาการเตรียมความพร้อมด้านที่ยังมีการดำเนินการน้อย เช่น การพัฒนาการจัดสถานที่ในการดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่เพื่อป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ และควรศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาแนวปฏิบัติในการจัดการศพผู้ติดเชื้ออุบัติใหม่
เอกสารอ้างอิง
Centers for Diseases Control and Prevention. (2014a). Infection prevention and control recommendations for hospitalized patients with known or Suspected Ebola Hemmorrhagic fever in U.S. Hospitals. Retrieved from http//www.cdc.gov/vhf/ebola/hcp/infection-prevention-and-control veconmendations.html
Chan, M. (2014). Ebola virus disease in West Africa-no early end to the outbreak. New England Journal of Medicine, 371(13), 1183-1185.
De Jong, M. D., Reusken, C., Horby, P., Koopmans, M., Bonten, M., Chiche, J. D., ... Goossens, H. (2014). Preparedness for admission of patients with suspected Ebola virus disease in European hospitals: A survey, August-September 2014. Euro Surveill, 19, 48.
Department of Disease Control. (2017). Influenza situation reports. Retrieved from http://beid.ddc.moph.go.th/beid_2014/node/253
Department of Disease Control. (2021). Covid-19 situation reports. Retrieved from https://covid19.ddc.moph.go.th/en.
Dikid, T., Jain, S. K., Sharma, A., Kumar, A., & Narain, J. P. (2013). Emerging & re-emerging infections in India: An overview. The Indian Journal of Medical Research, 138(1), 19.
Jirasak, S. (2005). Preparedness for Avian Flu in a community hospital. Bangkok: Institute of Public Health Sciences Research. (in Thai) Retrieved from https://doi.nrct.go.th//ListDoi/listDetail?Resolve_DOI=10.14457/CMU.the.2005.298
Kim, K. H., Tandi, T. E., Choi, J. W., Moon, J. M., & Kim, M. S. (2017). Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV) outbreak in South Korea, 2015: Epidemiology, characteristics and public health implications. Journal of Hospital Infection, 95(2), 207-213.
MacIntyre, C. R., Chughtai, A. A., Seale, H., Richards, G. A., & Davidson, P. M. (2014). Respiratory protection for healthcare workers treating Ebola virus disease (EVD): Are facemasks sufficient to meet occupational health and safety obligations. International Journal of Nursing Studies, 11(51), 1421-1426.
Matanock, A., Arwady, M. A., Ayscue, P., Forrester, J. D., Gaddis, B., Hunter, J. C., ... De Cock, K. M. (2014). Ebola virus disease cases among health care workers not working in Ebola treatment units- Liberia, June–August, 2014. Morbidity and Mortality Weekly Report (MMWR), 63(46), 1077-81.
Rungronnachai, J. (2004) Factors supporting prevention and control of infection for hospital accreditation of regional hospitals in southern Thailand. Songkhla:
Prince of Songkhla University. (in Thai) Retrieved from http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2553/3167
Thammachart, K. (2006). Preparedness of regional hospital for acute respiratory diseases. Chiang Mai: Chiang Mai University. (in Thai) Retrieved from http://dric.nrct.go.th/Search/SearchDetail/176214
World Health Organization. (2021). WHO Coronavirus (COVID-19) Dashboard. Retrieved from https://covid19.who.int/
World Health Organization. (2014). Infection prevention and control of epidemic-and pandemic-prone acute respiratory diseases in health care: WHO interim guidelines. Retrieved from http://apps.who.int/iris/bitstream/10665/112656/1/9789241507134_eng.pdf
World Health Organization. (2015) Promoting strategies and initiatives for priority emerging and re-emerging epidemic diseases. Retrieved from http://www.who.int/csr/disease/WHO_ PED_flyer_2014.PDF
Zumla, A., & Hui, D. S. (2014). Infection control and MERS-CoV in health-care workers. The Lancet, 383(9932), 1869-1871. doi: http://dx.doi.org/10.1016/S0140-6736(14)60852-7
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว