การใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในสตรีตั้งครรภ์: บทบาทพยาบาลผดุงครรภ์
คำสำคัญ:
การป้องกันโรคติดเชื้อ, การติดเชื้อโควิด-19, ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค, บทบาทพยาบาลผดุงครรภ์, สตรีตั้งครรภ์บทคัดย่อ
อัตราการติดเชื้อโควิด-19 ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประชากรทั่วโลก การกลายพันธุ์ของไวรัสและความรุนแรงของเชื้อยังไม่เป็นที่แน่ชัด สตรีตั้งครรภ์มีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์เนื่องจากผลของการเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยาและภูมิคุ้มกันร่างกาย การติดเชื้อมักทำให้เกิดอาการไข้ ไอ หายใจลำบาก ปวดกล้ามเนื้อ และปอดอักเสบ ทารกในครรภ์อาจเกิดกลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบ แท้ง คลอดก่อนกำหนด เจริญเติบโตช้าในครรภ์ น้ำหนักน้อย พิการแต่กำเนิด และเสียชีวิตในครรภ์ สตรีตั้งครรภ์ที่หายจากโรคโควิด-19 อาจมีอาการหลงเหลือในระยะยาวอีกหลายสัปดาห์หรือหลายปี แม้การติดเชื้อนั้นจะไม่รุนแรง
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายบทบาทของพยาบาลผดุงครรภ์ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในสตรีตั้งครรภ์ โดยใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค กรอบแนวคิดมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ แหล่งข้อมูล กระบวนการทางสติปัญญา และการปรับตัวเพื่อเผชิญต่ออันตราย ด้านแหล่งข้อมูลประกอบด้วยปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและตัวบุคคล กระบวนการทางสติปัญญาทำให้บุคคลรับรู้ต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการปรับตัวเพื่อเผชิญต่ออันตรายเป็นการแสดงพฤติกรรมป้องกันโรคของแต่ละบุคคล พยาบาลผดุงครรภ์มีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลที่ทันสมัยและถูกต้อง เกี่ยวกับความรุนแรงของโรคและผลกระทบต่อมารดาและทารก และให้การสนับสนุนด้านทรัพยากรในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 การปฏิบัติการพยาบาลผดุงครรภ์จำเป็นต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นแนวทาง ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคสามารถนำมาใช้เป็นกรอบแนวคิดเพื่อกระตุ้นให้ตรีตั้งครรภ์มีพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชน
คำสำคัญ: การป้องกันโรคติดเชื้อ การติดเชื้อโควิด-19 ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค บทบาทพยาบาลผดุงครรภ์ สตรีตั้งครรภ์
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 พยาบาลสาร

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว