ประสิทธิผลของการจัดการรายกรณีต่อน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และพฤติกรรมสุขภาพ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานร่วมกับความดันโลหิตสูง

บทคัดย่อ

การบรรลุเป้าหมายและการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่รุนแรงในผู้ป่วยโรคเบาหวานร่วมกับความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม การจัดการภาวะเหล่านี้มีความซับซ้อน การจัดการรายกรณีเป็นแนวทางที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดการการดูแลที่มีความซับซ้อน การศึกษากึ่งทดลองนี้ ศึกษาประสิทธิผลของการจัดการรายกรณีต่อระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยโรคเบาหวานร่วมกับความดันโลหิตสูงจำนวน 30 ราย ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) การจัดการรายกรณีผู้ป่วยโรคเบาหวานร่วมกับความดันโลหิตสูง ระยะเวลา 10 สัปดาห์ เป็นวิธีการดูแลผู้ป่วยที่ประยุกต์ใช้แนวคิดการจัดการรายกรณีของสมาคมการจัดการรายกรณีของสหรัฐอเมริกา 2) สมุดคู่มือการปฏิบัติตัวผู้ป่วย 3) แบบบันทึกการเยี่ยมบ้าน 4) แบบบันทึกผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและระดับความดันโลหิต และ 5) เครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และ 2) แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งมีค่า Cronbach’s alpha coefficient โดยรวมเท่ากับ 0.78 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ paired t-tests

ผลการศึกษาพบว่า ความดันโลหิตซิสโตลิคเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างโรคเบาหวานร่วมกับความดันโลหิตสูงลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) หลังจากได้รับการจัดการรายกรณี นอกจากนี้ยังพบว่า คะแนนพฤติกรรมการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ย ความดันโลหิตไดแอสโตลิค พฤติกรรมสุขภาพโดยรวม การจัดการอารมณ์ และการใช้ยา

การจัดการรายกรณี มีประสิทธิผลในการลดระดับความดันซิสโตลิค และเพิ่มพฤติกรรมการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคเบาหวานร่วมกับความดันโลหิตสูง ดังนั้น บุคลากรสุขภาพสามารถนำรูปแบบนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้