การศึกษาประเมินผลการใช้ส่วนประกอบเลือดของผู้ป่วยมาใช้ในการรักษาแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนัง
Main Article Content
Abstract
บทคัดย่อ
ความเป็นมา แผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนัง(atrophic scar) เกิดจากกระบวนการผลิตคอลลาเจนและเนื้อเยื่อพังผืด(connective tissue)ไม่สมดุลหรือไม่เพียงพอในการสมานบาดแผลหลังเนื้อเยื่อพื้นผิว(dermis)ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่ทำให้เกิดแผลเป็นลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนัง เช่น ความตึงของแผล เนื้อเยื่อข้างเคียงกัน ความแตกต่างในแต่ละบุคคลในการสมานบาดแผล และการหดรั้งของแผล เมื่อเกิดแผลเป็นจะส่งผลในเรื่องความสวยงาม และยังพบว่ามีผลต่อคุณภาพชีวิตด้วย รวมทั้งปัญหาทางด้านจิตใจและอารมณ์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้รุนแรงเทียบเท่ากับปัญหาโรคเรื้อรังต่างๆ อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงทางด้านจิตใจไม่ได้สัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของรอยโรคผิวหนัง ซึ่งวิธีการรักษาแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนังมีหลากหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน การศึกษาวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาถึงผลการใช้ส่วนประกอบเลือดของผู้ป่วยมาใช้ในการรักษาแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนังโดยการฉีดบริเวณแผลเป็น เพื่อที่ว่าอนาคตสารประกอบจากเลือดจะสามารถพัฒนานำมาใช้รักษาแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนังได้ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประเมินผลประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการนำเจลจากส่วนประกอบเลือดของผู้ป่วยมาใช้ในการรักษาแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนัง
วิธีการศึกษา Cross sectional study จัดทำที่แผนกผู้ป่วยนอกโสต ศอ นาสิก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มีผู้ป่วยเข้าร่วมงานวิจัยจำนวน 16 คน ทั้งหมดเป็นผู้ป่วยที่มีลักษณะแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนังบริเวณใบหน้าและลำคอ โดยผู้ป่วยจะได้รับการรักษาโดยการฉีดเจลจากส่วนประกอบเลือด มีการบันทึกภาพแผลเป็นก่อนฉีดเจล หลังฉีดเจล และวันนัดตรวจติดตามที่ 1สัปดาห์ 1เดือน 3เดือน และ6เดือนหลังการรักษา มีการประเมินผลหลังการรักษา และวันนัด ทำการตรวจติดตามผู้ป่วยด้วยการตอบแบบสอบถามความเจ็บปวด ผลข้างเคียง และความพึงพอใจ โดยแบบสอบถามความพึงพอใจจะทำการประเมินโดยผู้ป่วยและทีมผู้วิจัยสองท่าน
ผลการศึกษา สารประกอบจากเลือดที่ผ่านกระบวนการทำให้กลายเป็นเจล หรือพลาสมาเจลนั้น เมื่อนำมาใช้ฉีดรักษาผู้ป่วยที่มาด้วยแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนังบริเวณใบหน้าและลำคอ พบผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดในระดับต่ำ ( mean pain score =1.88)หลังการรักษาทันที และไม่พบอาการปวดหลังการรักษาใน 1เดือน ส่วนผลข้างเคียงด้านอื่นๆ ประกอบด้วย ผิวหนังอักเสบ ผิวหนังบวมพอง สีผิวไม่สม่ำเสมอ จุดเลือดออกขนาดเล็ก และรอยสะเก็ดของน้ำเลือด ซึ่งผลข้างเคียงดังกล่าวพบหลังการรักษาทันที อยู่ในช่วงไม่มีอาการ จนถึงมีอาการเล็กน้อย และเมื่อ 1เดือนหลังการรักษา มีเพียงสีผิวไม่สม่ำเสมอในผู้ป่วย 1ราย (6.66%) ในเวลา 6เดือนหลังการรักษา ด้านความพึงพอใจโดยผู้ป่วยที่ 6 เดือนหลังการรักษาอยู่ในช่วงดีขึ้นมาก ถึงมากที่สุดในด้านความนุ่มของแผลเป็น รอยแผลเป็นสีจางลง รอยบุ๋มลึกของแผลดีขึ้น และโดยภาพรวมของแผล เมื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจที่ 6เดือนหลังการรักษากับความความพึงพอใจหลังการรักษาทันทีของผู้ป่วยและผู้วิจัยพบว่า ระดับความพึงพอใจในด้านความนุ่มของแผล ผู้ป่วยและผู้วิจัยคนที่ 1 ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ(P-value = 0.019, 0.041 ตามลำดับ) ส่วนในแง่ของผู้วิจัยคนที่ 2พบว่าไม่แตกต่างกัน(P-value = 0.082) ในด้านรอยแผลเป็นสีจางลงผู้ป่วยพบว่าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ(P-value = 0.007) ในแง่ของผู้วิจัยทั้ง 2ท่านไม่แตกต่างกัน(P-value = 0.189, 0.334 ตามลำดับ) ด้านรอยบุ๋มลึกดีขึ้นผู้ป่วยพบว่าไม่แตกต่างกัน(P-value = 0.164) ในแง่ของผู้วิจัยทั้ง 2ท่านพบว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ(P-value = 0.028, 0.004 ตามลำดับ) และสุดท้ายในด้านภาพรวมของแผล ทั้งผู้ป่วยและผู้วิจัยคนที่ 2พบว่าไม่แตกต่างกัน(P-value = 0.189, 0.189 ตามลำดับ) แต่ผู้วิจัยคนที่1 พบว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ(P-value = 0.041)
บทสรุป เจลจากส่วนประกอบของเลือด หรือพลาสมาเจล สามารถใช้ในการรักษาผู้ป่วยแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนังบริเวณใบหน้าและลำคอได้ สามารถอยู่ในร่างกายได้อย่างปลอดภัย และผู้ป่วยมีความพึงพอใจกับผลที่ได้รับในด้านความนุ่มของแผลเป็นและสีจางลง ฉะนั้นแล้วเจลจากส่วนประกอบเลือดจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยที่มีแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปใต้ผิวหนังได้ และสามารถพัฒนาให้คุณภาพดีขึ้นได้ต่อไปในอนาคต
Article Details
ต้นฉบับที่ส่งมาพิจารณายังวารสารหู คอ จมูก และใบหน้า จะต้องไม่อยู่ในการพิจารณาของวารสารอื่น ในขณะเดียวกันต้นฉบับที่จะส่งมาจะผ่านการอ่านโดยผู้ทรงคุณวุฒิ หากมีการวิจารณ์หรือแก้ไขจะส่งกลับไปให้ผู้เขียนตรวจสอบแก้ไขอีกครั้ง ต้นฉบับที่ผ่านการพิจารณาให้ลงตีพิมพ์ถือเป็นสมบัติของวารสารหู คอ จมูกและใบหน้า ไม่อาจนำไปลงตีพิมพ์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตารางแผนภูมิ รูปภาพ หรือข้อความเกิน 100 คำที่คัดลอกมาจากบทความของผู้อื่น จะต้องมีใบยินยอมจากผู้เขียนหรือผู้ทรงลิขสิทธิ์นั้นๆ และใหร้ะบุกำกับไว้ในเนื้อเรื่องด้วย
References
2. Patel L, McGrouther D, Chakrabarty K.Evaluating evidence for atrophic scarring treatment modalities. JRSM open. 2014 Sep;5(9):2054270414540139.
3. Fife D. Practical evaluation and management of atrophic acne scars: tips for the general dermatologist. The Journal of clinical and aesthetic dermatology. 2011 Aug;4(8):50-7.
4. Jacob CI, Dover JS, Kaminer MS. Acne scarring: a classification system and review of treatment options. Journal of the American Academy of Dermatology. 2001 Jul;45(1):109-17.
5. Wang P, Qu Y, Man Y. Platelet-rich plasma as a scaffold for injectable soft-tissue augmentation. Cytotherapy. 2010 Sep;12(5):701-2.
6. Fukaya M, Ito A. A new economic method for preparing platelet-rich plasma. Plastic and Reconstructive Surgery Global Open. 2014 Jun;2(6):e162.
7. Fabbrocini G, De Vita V, Pastore F, Panariello L, Fardella N, Sepulveres R, D’Agostino E,Cameli N, Tosti A. Combined use of skin needling and platelet-rich plasma in acne scarring treatment. Cosmetic Dermatology.2011 Apr;24(4):177-83.
8. Alser OH, Goutos I. The evidence behind the use of platelet-rich plasma (PRP) in scar management: a literature review. Scars, burns & healing. 2018 Jan-Dec;4:20595131 18808773.
9. Deshmukh NS, Belgaumkar VA. Platelet-Rich Plasma Augments Subcision in Atrophic Acne Scars: A Split-Face Comparative Study.Dermatologic Surgery. 2019 Jan;45(1):90-98.