ผลของการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องการให้ยาในเด็กต่อทักษะการให้ยาของนักศึกษาพยาบาล
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการให้ยาในเด็กต่อทักษะการให้ยาของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ของโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) จำนวน 88 ราย สุ่มกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง โดยกลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบปกติ จำนวน 42 ราย กลุ่มทดลองเป็นกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบปกติและจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องการให้ยาในเด็ก จำนวน 46 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การให้ยาในเด็ก ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยผู้วิจัย เนื้อหาของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ได้ปรับปรุงตามความคิดเห็นจากผู้ทรงวุฒิ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินทักษะการปฏิบัติการให้ยาแต่ละชนิด และแบบประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจากผู้เรียน วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างคะแนนทักษะปฏิบัติการให้ยาในเด็กก่อนและหลังได้รับการสอนระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองด้วยสถิติ independent t-test เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนทักษะปฏิบัติการให้ยาในเด็กก่อนและหลังทันที และสัปดาห์ที่ 6 ของกลุ่มทดลองด้วยสถิติ linear mixed models
ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาพยาบาลทั้งกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันในด้านคุณลักษณะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05) หลังเรียนการให้ยาในเด็กคะแนนรวมทุกทักษะของกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01) โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนทักษะการเตรียมยารับประทาน การให้ยาทางสายให้อาหาร การเตรียมยาฉีด การฉีดยาทางหลอดเลือดดำผ่าน NSS lock การฉีดยาทางหลอดเลือดดำ การให้ยาทางกระบอกสารน้ำ การฉีดยาเข้าชั้นผิวหนัง การฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนัง การฉีดยาทางกล้ามเนื้อ การหยอดตา การหยอดหู และคะแนนรวมทุกทักษะหลังเรียนการให้ยาในเด็กทันที และในสัปดาห์ที่ 6 มากกว่าก่อนเรียนการให้ยาในเด็ก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการศึกษาโดยรวมพบว่านักศึกษากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจมากต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการให้ยาในเด็ก ดังนั้น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งในการช่วยพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Article Details
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในรามาธิบดีพยาบาลสาร ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใด ใด จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากรามาธิบดีพยาบาลสารก่อนเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
of the nursing curriculum by Nursing and Midwifery
Council in 2016. [cited 2019 June 23]. Available from:
https://www.tnmc.or.th
2. Royal Thai Government Gazette. Standards of higher
education in 2018; 2018 [cited 2018 August 31].
Available from: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/
DATA/PDF/2561/E/199/T19.PDF
3. Office of the Higher Education Commission. Term of
reference; 2018 [cited 2019 March 19]. Available from:
https://www.mua.go.th/users/bhes/pdf
4. Clark RE. Evidence for confounding in computer-based
instruction studies: analyzing the meta-analyses. ECTJ.
1985;33(4):249-62.
5. Prasarnsai W. Computer assisted instruction: innovation
for education. Bangkok; Thray Printing; 2004. (in Thai)
6. Mamom J. Computer assisted instruction (CAI):
educational technology to develop the knowledge and skills
of nursing students. Thai Science and Technology Journal.
2014:286-93. (in Thai)
7. Damkliang J, Nakdam P, Prasartvankit A, Promtape N.
Effects of computer assisted instruction entitled “Suturing”
on nursing students’ knowledge, practical skill and
satisfaction. The Journal of Faculty of Nursing Burapha University. 2010;18(1):56-67. (in Thai)
8. Somnarin O, Boonkusol T. The effect of computer assisted
instruction with thoracic examination on learning outcome
and satisfaction in nursing students. Journal of
Boromarajonani College of Nursing. 2016;32(2):94-
103. (in Thai).
9. Mamom J. Outcomes of computer mediated review lesson
on pressure sore dressing as observed in second-year
nursing students’ knowledge, practical skills and opinions.
TJNC. 2013;27(3):63-76. (in Thai)
10. Chatchaisucha S, Jitramontree N, Vanicharoenchai V. The
effect of an intravenous infusion E-material on the second
year nursing students’ ability to demonstrate the procedure
of intravenous infusion. J Nurs Sci. 2011;29(Suppl2):
143-50. (in Thai)
11. Chaimanee T, Disataporn C, Rojsomrith W, Aunming R.
The effectiveness of computer based simulation via internet
on practice guidelines prevention of nosocomial infection
for nursing Students. Veridian E-Journal, Silpakorn
University. 2017;10(1):565-81. (in Thai)
12. Kitrungrote L, Sae-Sia W, Khupantavee N. The effects
of computer assisted instruction program on wound
dressing knowledge and skills of nursing students.
Songklanakarin Journal of Social Sciences & Humanities,
2010;16(3):398-406. (in Thai)
13. Ragasa CY. A comparison of computer-assisted instruction
and the traditional method of teaching basic statistics. JSE.
2008;16(1):1-11.
14. Ramathibidi School of Nursing. Innovation. [cited 2019
June 23]. Available from: https://www.med.mahidol.
ac.th/nursing/research-ns/Innovation (in Thai)
15. Erb-arb S, Leevirat S. Effects of computer-assisted
instruction for aerosol administration therapy in children
on nurses’ knowledge and medication management skills
and on children’s respiratory response. TJNC. 2014;
29(4):105-20. (in Thai)
16. Dreber MA., Caputi L. The integration of theoretical
constructs into the design of computer assisted instruction.
Comput Nurs. 1992;10(5):219-24.
17. Vandeveer M, Norton B. From teaching to learning:
Theoretical foundation. In: Halstead JA, editor. Teaching
in Nursing. St. Louis: Elsevier-Saunders; 2005, p. 237-
41.
18. Keller, JM. (2006). Keller’s ARCS model of motivational
design. [cited 2019 June 23]. Available from: http//
www.arcsmodel.com
19. Skinner BF. Skinner’s Principle of Operant condition;
2006 [cited 2018 November 21]. Available from: http//
www. psychologyfacts.blogspot.com/what-is-operantconditioning.
html
20. Chaweethamawat A. Development of computer-assisted
instruction on knowledge of congenital heart diseases for
school-age children with congenital heart disease.
[Thesis]. Thailand, Mahidol University; 2012. (in Thai)
21. Koo T. K., & Li M. Y. A Guideline of Selecting and
Reporting Intraclass Correlation Coefficients for Reliability
Research. Journal of Chiropractic Medicine. 2016;
15(2),155-63.
22. Jinwan W. Application of cognitive loading theory and
online instructional design. JVTE. 2011;(1),19-24.
23. Bunprasert W. The development of computer-assisted
instruction lesson on the instruction intermittent
catheterization in male patient for nursing students Mahidol
University. Veridian E-Journal, Silpakorn University
2012;5(2): 183-92. (in Thai)
24. Tupanich W, Krajangdan S. Effectiveness of computerassisted
instruction on home health care for nursing students
of Kuakarun Faculty of Nursing. Kuakarun Journal of
Nursing. 2014; 21(2):198-210. (in Thai)
