ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเด็ก

Main Article Content

Jiraporn Punyoo
Jongjai Jongaramraung
Tipawan Daramas
Dongruethai Buadong
Lawan Singhasai
Jirarporn Tunksakool
Sutasinee Saehoong
Pawanrat Panjatharakul
Amporn Thungkaeorungrueang

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงบรรยายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการับรู้สมรรถนะแห่งตนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งศึกษาอุปสรรคและความต้องการในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 227 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และแบบประเมินการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน ส่วนการสัมภาษณ์เชิงลึกเก็บข้อมูลจากบุคลากรทางการพยาบาลที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยเด็ก จำนวน 30 ราย และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรทางการพยาบาลมีคะแนนความรู้และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับมาก ส่วนความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเด็กอย่างมีนัยสำตัญทางสถิติ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า อุปสรรคในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการพยาบาล ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายหรือแนวปฏิบัติ 2) การจำกัดจำนวนบุคลากรในการดูแล 3) การขาดแคลนอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกัน 4) ปัญหาในการสื่อสาร และ 5) การขาดความร่วมมือในการปฏิบัติตนจากผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็ก นอกจากนั้นบุคลากรทางการพยาบาลมีความต้องการในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้แก่ 1) อุปกรณ์ป้องกันร่างกายส่วนบุคคลที่เพียงพอ และ 2) การจัดทบทวนความรู้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและการใช้อุปกรณ์ป้องกันร่างกายส่วนบุคคล ดังนั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบควรมีมาตรการการเตรียมความพร้อมทั้งด้านอุปกรณ์ในการป้องกันที่เพียงพอ มีการให้ความรู้ตามความต้องการอย่างต่อเนื่อง และควรมีนโยบายหรือแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการพยาบาลที่ให้การดูแลผู้ป่วยเด็กต่อไป


คำสำคัญ : ความรู้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตน การป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อุปกรณ์ป้องกันร่างกายส่วนบุคคล บุคลากรทางการพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเด็ก


ผลการวิจัยพบว่าบุคลาการทางการพยาบาลมีคะแนนความรู้และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับมาก ส่วนความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเด็กอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่า บุคลากรทางการพยาบาลมีความต้องการในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้แก่ 1) อุปกรณ์ป้องกันร่างกายส่วนบุคคลที่เพียงพอ และ 2) การจัดการอบรมเพื่อทบทวนความรู้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและการใช้อุปกรณ์ป้องกันร่างกายส่วนบุคคล สำหรับปัญหาหรืออุปสรรคในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการพยาบาล ได้แก่ 1) ด้านนโยบายหรือแนวปฏิบัติมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในช่วงแรก; 2) การจำกัดจำนวนบุคลากรที่เข้าดูแลผู้ป่วย; 3) อุปกรณ์ป้องกันร่างกายส่วนบุคคลขาดแคลน; 4) การสื่อสารที่ยากลำบากของบุคคลากรที่ปฏิบัติงานระหว่างภายในและภายนอกห้องควบคุมความดันลบ; และ 5) ความไม่เข้าใจและไม่ให้ความร่วมมือของผู้ป่วยเด็กเล็กในการปฏิบัติตน ดังนั้น หน่วยงานควรมีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านอุปกรณ์ในการป้องกันที่เพียงพอ และมีนโยบายหรือแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
1.
Punyoo J, Jongaramraung J, Daramas T, Buadong D, Singhasai L, Tunksakool J, Saehoong S, Panjatharakul P, Thungkaeorungrueang A. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรทางการพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเด็ก. Nurs Res Inno J [อินเทอร์เน็ต]. 24 ธันวาคม 2021 [อ้างถึง 28 ธันวาคม 2025];27(3):415-29. available at: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RNJ/article/view/250702
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

World Health Organization. COVID19 strategy. Geneva,Switzerland: World Health Organization; 2020.

Department of Disease Control. Coronavirus disease (COVID-19). [cited 2020 May 21]. Available from:

https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ (in Thai)

Dong Y, Mo X, Hu Y, Qi X, Jiang F, Jiang Z, et al.Epidemiology of COVID-19 among children in China.

Pediatrics. 2020;145(6):1-10.

Center for Disease Control and Prevention. Bridged-race population estimates 2020. [cited 2020 May 21].

Available from: https://wonder.cdc.gov/bridged-racepopulation.html

Department of Disease Control. Situation of coronavirus disease (COVID-19). [cited 2021 May 21]. Available

from: https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/eng/index.php (in Thai)

Department of Disease Control. Situation of coronavirus disease (COVID-19). [cited 2021 August 31]. Available

from: https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/situation/situation-no541-270664.pdf (in Thai)

He J, Liu L, Chen X, Qi B, Liu Y, Zhang Y, Bai J. The experiences of nurses infected with COVID-19 in Wuhan,

China: A qualitative study. J Nurs Manag. 2021 Jul;29(5):1180-8. doi: 10.1111/jonm.13256

Department of Disease Control. Personal Protective Equipment (Issue dated 20 April 2020). [cited 2021

May 21]. Available from: https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/g_health_care/g07_ppe_200463.

pdf (in Thai)

Preutthipan A. Guidelines for respiratory therapy in pediatric patients infected with COVID-19 (6 April

[cited 2021 May 21]. Available from: https://www.thaipediatrics.org/Media/media-202004091

pdf (in Thai)

Alsahafi AJ, Cheng AC. Knowledge, attitudes, and behaviours of healthcare workers in the Kingdom of Saudi

Arabia to MERS coronavirus and other emerging infectious diseases. Int J Environ Res Public Health. 2016;13(12):

doi: 10.3390/ijerph13121214

Bandura A. Self-efficacy: the exercise of control. New York: WH Freeman; 1997.

Simak VF, Kristamuliana K. The relationship between knowledge of the use of personal protective equipment and the self efficacy of puskesmas nurses againt Covid-19 management. Int J Nurs Midwifery. 2020;4(2):156-

Dadfar M, Sanadgol S. Self-efficacy on the Coronavirus disease-2019 (COVID-19). (preliminary report). [cited

October 13]. Available from: https://www.researchsquare.com/article/rs-143799/v1

Benight CC, Bandura A. Social cognitive theory of posttraumatic recovery: the role of perceived self-efficacy.

Behav Res Ther. 2004;42(10):1129-48.

Bandura A. The explanatory and predictive scope of selfefficacy theory. J Soc Clin Psychol. 1986;4(3):359-73.

Soudagar S, Rambod M, Beheshtipour N. Factors associated with nurses’ self-efficacy in clinical setting in

Iran, 2013. Iran J Nurs Midwifery Res. 2015;20(2):226-31.

Kurnia TA, Trisyani Y, Prawesti A. Factors associated with nurses’ self-efficacy in applying palliative care in

intensive care unit. Jurnal Ners. 2019;13(2):219-26.

van der Weerd W, Timmermans DR, Beaujean DJ, Oudhoff J, van Steenbergen JE. Monitoring the level of government trust, risk perception and intention of the general public to adopt protective measures during the influenza A (H1N1)pandemic in the Netherlands. BMC Public Health.2011;11(1):1-12.

Nakhaee M, Alinejad MS. Investigating nurses’ knowledge and self-efficacy regarding the principles of infection control in the operating room. Mod Care J.2015;12(2):79-83.

Desiani S, Nuraeni A, Priambodo AP. How do knowledge and self-efficacy of internship nursing students in

performing cardiopulmonary resuscitayion?. Belitung Nurs J. 2017;3(5):612-20.

Handiyani H, Kusumawati AS, Karmila R, Wagiono A,Silowati T, Lusiyana A, et al. Nurses’ self-efficacy in

Indonesia. Enferm Clin. 2019;29:252-6.