การพัฒนาหุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่แบบมีปฏิสัมพันธ์และประสิทธิผลของหุ่นจำลอง
Main Article Content
บทคัดย่อ
การฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่เป็นหัตถการทางการพยาบาลที่สำคัญในการฉีดวัคซีนและการบริหารยาฉีดในคลินิก ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ หลักการเตรียมยา เทคนิคปลอดเชื้อและเทคนิคการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดยาไม่ถูกชั้นกล้ามเนื้อ การเลือกตำแหน่งกล้ามเนื้อและขนาดของเข็มฉีดยาไม่ถูกต้องการฝึกฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่กับหุ่นจำลองในห้องปฏิบัติทักษะการพยาบาลเป็นประสบการณ์เรียนรู้ที่สำคัญต่อการพัฒนาทักษะการฉีดยาของนักศึกษาพยาบาล แต่ยังขาดหุ่นจำลองเสมือนจริงที่ให้ข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับความถูกต้องของการปฏิบัติ การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่แบบมีปฏิสัมพันธ์ที่ให้ข้อมูลป้อนกลับได้ และเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างหุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่แบบมีปฏิสัมพันธ์กับหุ่นจำลองแบบชิ้นส่วนกล้ามเนื้อและแบบชุดแขนส่วนบน กรอบแนวคิดการวิจัยและพัฒนานี้เชื่อมโยงแนวคิดกรวยประสบการณ์ของเดลกับหลักกายวิภาคศาสตร์ร่วมกับหลักวิศวกรรมชีวการแพทย์โดยเน้นให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่เหมือนจริงจากการฉีดยากับหุ่นจำลองที่มีลักษณะกล้ามเนื้อหัวไหล่ของวัยผู้ใหญ่ และการมีระบบป้อนกลับผ่านตัวส่งและรับสัญญาณของวงจรอิเล็กทรอนิกส์และสัญญาณเสียงให้ข้อมูลป้อนกลับเมื่อผู้เรียนแทงเข็มฉีดยาในตำแหน่งและความลึกที่ถูกต้องทำให้ผู้เรียนประเมินผลการปฏิบัติของตนเองได้และเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ดำเนินการวิจัย 4 ระยะ คือ 1) ศึกษาความต้องการการพัฒนาหุ่นจำลองและทบทวนวรรณกรรม 2) พัฒนาหุ่น
จำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่แบบมีปฏิสัมพันธ์ 3) ประเมินประสิทธิผลของหุ่นจำลองฯและ 4) ปรับปรุงแก้ไขหุ่นจำลองฯ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ลงทะเบียนเรียนวิชาการพยาบาลรากฐานจำนวน 60 ราย และอาจารย์พยาบาลจำนวน 6 รายรวมทั้งหมด 66 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ หุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่แบบมีปฏิสัมพันธ์ แบบชิ้นส่วนกล้ามเนื้อและแบบชุดแขนส่วนบนที่มีสายรัด สัญญาณไฟและเสียงเก็บรวบรวมข้อมูลโดยให้กลุ่มตัวอย่างทดสอบฉีดยาทางกล้ามเนื้อกับหุ่นจำลอง 3 แบบ ได้แก่ แบบชิ้นส่วนกล้ามเนื้อ แบบมีปฏิสัมพันธ์และแบบชุดแขนส่วนบน ตามลำดับ ใช้้วลาแบบละ 5 นาที รวมเวลาการทดสอบทั้งหมด 15 นาที และใช้แบบประเมินประสิทธิผลของหุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อ 4 ด้าน ได้แก่ (1) ความเสมือนจริง (2) การเสริมสร้างทักษะการฉีดยาทางกล้ามเนื้อ (3) การเสริมสร้างทัศนคติต่อการปฏิบัติการพยาบาล และ (4) การนำไปใช้โดยใช้เวลาตอบ 5 นาที รวมเวลาเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมด 20 นาที วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำและวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่โดยใช้สถิติบอนเฟอร์โรนีในกลุ่มนักศึกษาพยาบาล การทดสอบฟรีดแมนและวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่โดยใช้สถิติดันบอนเฟอร์โรนีในกลุ่มอาจารย์พยาบาล ผลการวิจัยพบว่า หุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่แบบมีปฏิสัมพันธ์มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่เพศชายครึ่งตัว กล้ามเนื้อหัวไหล่หล่อจากซิลิโคนสีขาวเหลือง มีระบบสัญญาณเสียงเป็นคำพูดเมื่อแทงเข็มในตำแหน่งและความลึกได้ถูกต้อง ประสิทธิผลโดยรวมของหุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่ 3 แบบในกลุ่มนักศึกษาพยาบาลแตกต่างกันอย่างน้อย 1 คู่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F2,118 = 56.83, p < .001) ประสิทธิผลโดยรวมของหุ่นจำลองการฉีดยาทาง
กล้ามเนื้อหัวไหล่แบบมีปฏิสัมพันธ์ในนักศึกษาพยาบาลสูงกว่าแบบชิ้นส่วนกล้ามเนื้อและแบบชุดแขนส่วนบนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ตามลำดับ (MD = -1.15, SE = .13, p < .001, 95% CI= [-1.469, -.840]; MD = -.86, SE = .11, p < .001, 95% CI =[-1.122, -.597]) ประสิทธิผลโดยรวมของหุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่แบบชุดแขนส่วนบนในนักศึกษาพยาบาลสูงกว่าแบบชิ้นส่วนกล้ามเนื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ (MD = -.29, SE =.10, p < .05, 95% CI= [-.546, -.045]) นอกจากนั้นในกลุ่มอาจารย์พยาบาล ประสิทธิผลโดยรวมของหุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่ 3 แบบในกลุ่มอาจารย์พยาบาลแตกต่างกันอย่างน้อย 1 คู่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ χ2 (2, N=6) = 9.65, p < .01) ประสิทธิผลโดยรวมของหุ่นจำลองการฉีดยา
ทางกล้ามเนื้อหัวไหล่แบบมีปฏิสัมพันธ์สูงกว่าแบบชิ้นส่วนกล้ามเนื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (z = -1.75, p < .01) ผลการศึกษานี้ แสดงให้เห็นว่าหุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่ที่มีลักษณะเหมือนจริงและให้ข้อมูลป้อนกลับได้ ช่วยให้ปฏิบัติตามขั้นตอนการฉีดยาได้ครบถ้วน สะดวก และประเมินความถูกต้องของการปฏิบัติได้ ควรนำไปใช้ในการฝึกทักษะการฉีดยาทางกล้ามเนื้อหัวไหล่ของนักศึกษาพยาบาล เพื่อพัฒนาทักษะให้แม่นยำ ส่งเสริมความตระหนักถึงความปลอดภัยและความสุขสบายของผู้ปวย การพัฒนาและวิจัยต่อไปควรสร้างปุ่มกระดูกหัวไหล่ที่มีกระดูกสะบักคลำได้ชัดเจน มีความหนืดของชั้นกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นขณะถอนเข็มฉีดยาออก มีระยะเวลาของการประเมินประสิทธิผลหลายครั้ง และเพิ่มขนาดตัวอย่างกลุ่มอาจารย์พยาบาลใน
การเปรียบเทียบประสิทธิผล
คำสำคัญ : กล้ามเนื้อหัวไหล่ หุ่นจำลองการฉีดยาทางกล้ามเนื้อแบบมีปฏิสัมพันธ์ การฉีดยาทางกล้ามเนื้อ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในรามาธิบดีพยาบาลสาร ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใด ใด จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากรามาธิบดีพยาบาลสารก่อนเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
Cook IF. Best vaccination practice and medically attended injection site events following deltoid intramuscular injection. Hum Vaccin Immunother. 2015;11(5):1184-91. doi: 10.1080/21645515.2015.1017694.
Williams PA. Fundamental concepts and skills for nursing.6th ed. St. Louis, MO.: Elsevier; 2022.
Soliman E, Ranjan S, Xu T, Gee C, Harker A, Barrera A,et al. A narrative review of the success of intramuscular gluteal injections and its impact in psychiatry. Biodes Manuf. 2018;1(3):161–70. doi:10.1007/s42242-018-0018-x.
Boyd AE, DeFord LL, Mares JE, Leary CC, Garris JL,Dagohoy CG, et al. Improving the success rate of gluteal intramuscular injections. Pancreas. 2013;42(5):878–82. doi:10.1097/MPA.0b013e318279d552.
Thalhakorn B. The application of information technology in teaching and learning. 1st ed. Bangkok: Royal Initiative Project on Information Technology, HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn, National Electronics and Computer Technology Center; 2008. (in Thai)
Mohan ME, Lavanya SH, Kalpana L, Veena RM. Learning injection techniques with simulators: Medical Students’Perspectives. Int J Med Health Sci.2015;4(3):332-36.
Chotiban P, Nawsuwan K, Nontaput T, Rodniam J.Innovation of assisted models for practicing basic nursing.Princess of Naradhiwas University Journal. 2013;5(3):1-12. (in Thai)
Chiannilkulchai N, Nunthawong J. Development of the intramuscular injection model for nursing students and evaluation of the effectiveness of the model.Songklanagarind Journal of Nursing. 2016;36(2):65-77. (in Thai)
Micallef J, Arutiunian A, Dubrowski A. The development of an intramuscular injection simulation for nursing students. Cureus. 2020;12(12):e12366. doi:10.7759/cureus.12366.
Tantacharoenrat C, Precharattana M. An electronic-based simulator for intramuscular injection in newborns. Int J Nurs Educ. 2023;15(2):1–6. doi:10.37506/ijone.v15i2.19243.
Choeychom S, Rujiwatthanakorn D. The use of an innovative arm model in practicing an intravenous infusion procedure of nursing students. Ramathibodi Nursing Journal. 2015;21(3):395-407. (in Thai)
Dick-Smith F, Power T, Martinez-Maldonado R, Elliott D. Basic life support training for undergraduate nursing students: An integrative review. Nurse Educ Pract.2021;50:102957. doi:10.1016/j.nepr.2020.102957.
Bronzino JD, Peterson DR. Biomedical engineering fundamentals. 4th ed. New York: CRC;2015.
Cohen J. Statistical power analysis for the behavioral sciences. 2nd ed. New York: Routledge; 2013.
Joanna Briggs Institute. Recommended practice. Injection:Intramuscular. The JBI EBP Database; 2017. JBIRP-1213-8
Sirilai S. Ethics for nursing. Bangkok: Chulalongkorn University Press; 2010. (in Thai)
Nurses Association of Thailand. Code of ethics for nurses,B.E. 2546. Nakhon Pathom: ASEAN Institute for Public Health Development; 2003. (in Thai)
Mano R, Trapsinsaree D, Somkird J, Suwan K, Yodchai K. Nursing students’ satisfaction with the use of simulation manikins for venipuncture and peripheral intravenous cannulation practice in networked nursing institutions.Nursing Journal Chiangmai University. 2024;51(3):278-86. (in Thai)