ผลของโปรแกรมการตั้งเป้าหมายร่วมต่อพฤติกรรมการคว่ำหน้าและผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอประสาทตาหลุดลอกแบบใส่แก๊ส

Main Article Content

วรางคณา คงเจริญ
สุชิรา ชัยวิบูลย์ธรรม
นพวรรณ พินิจขจรเดช

บทคัดย่อ

จอประสาทตาเป็นส่วนของหนึ่งดวงตาที่ทำหน้าที่เป็นจอรับภาพโรคจอประสาทตามีผลต่อการมองเห็นและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต หากมีบริเวณที่วุ้นตาติดแน่นอยู่กับจอประสาทตามากกว่าปกติจะทำให้เกิดการดึงรั้งจอประสาทตาทำให้เกิดจอประสาทตาหลุดลอก ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและหากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้สูญเสียการมองเห็น โดยวิธีการที่ได้ผลดีและนิยมคือการผ่าตัดวุ้นตาเป็นการผ่าตัดภายในลูกตาร่วมกับการฉีดแก๊สเข้าไปให้จอตาราบลง อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าตัด
การติดกลับของจอประสาทตาจะเป็นไปได้ด้วยดี จะต้องอาศัยการนอนคว่ำหน้าของผู้ป่วย ซึ่งความสำคัญอย่างยิ่งในการติดกลับของจอประสาทตา โดยผู้ป่วยต้องคว่ำหน้าหลังผ่าตัดทันทีอย่างต่อเนื่องหลังผ่าตัดทำให้ไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ พบว่าผู้ป่วยมักไม่สุขสบาย มีอาการปวดบริเวณคอและหลัง ส่งผลต่อความต่อเนื่อง ความสม่ำเสมอของการคว่ำหน้า การตั้งเป้าหมายร่วมต่อพฤติกรรมการคว่ำหน้าและการติดตามผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยหลังผ่าตัด จอประ สาทตาหลุดลอกแบบใส่แก๊ส โดยพยาบาลและผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน พยาบาลให้ความรู้ในรูปแบบสื่อการสอนและวีดิทัศน์ควบคู่กับอธิบายเกี่ยวกับการดำเนินของโรคจอประสาทตาหลุดลอกเพื่อสร้างความตระหนักในการคว่ำหน้าหลังผ่าตัด ฝึกทักษะการคว่ำหน้าก่อนได้รับการผ่าตัดจริง มีการค้นหาอุปสรรค แนวทางในการคว่ำหน้าที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นเฉพาะกรณี มีการตั้งเป้าหมายจำนวนชั่วโมงการคว่ำหน้าร่วมกัน เข้าใจและสามารถปฏิบัติการดูแลตัวเองได้อย่างต่อเนื่องเมื่อกลับบ้าน ผู้ป่วยสามารถมีพฤติกรรมการคว่ำหน้าที่เหมาะสมกับตนเอง นำไปสู่ผลลัพธ์การผ่าตัดที่ดีขึ้น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยพฤติกรรมการคว่ำหน้า 24 ชั่วโมง ของผู้ป่วยจอประสาทตาหลุดลอกแบบใส่แก๊สระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการตั้งเป้าหมายร่วมกับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิก ได้แก่ ความสามารถในการมองเห็น และ การติดกลับของจอประสาทตา ระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการตั้งเป้าหมายร่วมกับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) เพื่อศึกษากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ออกแบบการวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (two-group pretest–posttest design with comparison group)โดยการศึกษาเปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยของพฤติกรรมการคว่ำหน้าและผลลัพธ์ทางคลินิก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดจอประสาทตาหลุดลอกแบบใส่แก๊ส ที่เกิดจากรูหรือรอยฉีกขาดที่จอประสาทตา หรือเกิดจากการดึงรั้งโดยพังผืดหรือวุ้นตา หรือเกิดจากสารน้ำรั่วซึมหรือมีของเหลวสะสมอยู่ใต้ชั้นของจอตา ดำเนินการวิจัยระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 25 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 50 ราย โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling)
ตามเกณฑ์คัดเข้า ดังนี้ 1) กลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป 2) ได้รับการผ่าตัดจอประสาทตาหลุดลอกเป็นครั้งแรก 3)หลังผ่าตัดได้รับการใส่แก๊สออกตาฟลูออโรโพรเพน (C3F8 ) หรือ ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6 ) 4) มี การนัดหมายเพื่อเข้ารับการผ่าตัดตาข้างเดียว และตาอีกข้างได้ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าตาบอด (blindness) 5) สามารถติดต่อทางโทรศัพท์หรือ LINE application และ 6) กรณีหลังผ่าตัด ผู้เข้าร่วมวิจัยอาจมีปัญหาเรื่องมองเห็นไม่ชัดเจน การสื่อสารทาง LINE application สามารถให้ญาติช่วยสื่อสารแทนได้ กรณีที่ผู้ป่วยอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป คัดกรองโดยใช้แบบประเมิน 6 Cognitive Impairment Test (6 CIT ) ฉบับภาษาไทยได้คะแนนน้อยกว่า 8 คะแนน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป G*power โดยกำหนดอำนาจในการทดสอบ = .50
ค่านัยสำคัญทางสถิติ (α) = .05 ขนาดอิทธิพล เท่ากับ .50 ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 23 ราย ผู้วิจัยเพิ่มขนาดกลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 10 ในกรณีที่ข้อมูลไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ การศึกษาครั้งนี้ จึงมีจำนวนตัวอย่างกลุ่มละ 25 ราย เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมการตั้งเป้าหมายร่วมต่อพฤติกรรมการคว่ำหน้า และผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยจอประสาทตาหลุดลอกแบบใส่แก๊ส ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาขึ้นตามกรอบแนวคิดทฤษฎีคิง แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกจำนวนชั่วโมงพฤติกรรมการคว่ำหน้า 24 ชั่วโมง แบบบันทึกความสามารถในการมองเห็น
และแบบบันทึกการติดกลับของจอประสาทตา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยเก็บข้อมูลในกลุ่มควบคุมก่อนแล้วจึงเก็บข้อมูลในกลุ่มทดลอง โดยกลุ่มทดลอง ผู้วิจัยเป็นผู้คัดเลือกผู้วิจัยด้วยตนเองทั้งหมด วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา สถิติ two–factor repeated measures ANOVA


ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มทดลองมีจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยพฤติกรรมการคว่ำหน้า มากกว่าหรือเท่ากับ 16 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละมากกว่ากลุ่มควบคุม เปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยพฤติกรรมการคว่ำหน้า แต่ละช่วงเวลา พบว่ากลุ่มทดลองมีจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยพฤติกรรมการคว่ำหน้า หลังการผ่าตัดในช่วง 1-2 วัน 6-7 วัน และ 13-14 วัน สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 93.39, p < .05) เปรียบเทียบภายในกลุ่มทดลอง พบว่า ก่อนผ่าตัด 1 เดือน มีจำนวนชั่วโมงพฤติกรรมการคว่ำหน้าแตกต่างจากช่วงเวลาหลังผ่าตัด 1-2 วัน (t = .79, p< .05) หลังผ่าตัด 6-7 วัน (t = .94, p < .05) และหลังผ่าตัด 13-14 วัน (t = .88, p < .05อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หลังผ่าตัด 1-2 วันมีจำนวนชั่วโมงพฤติกรรมการคว่ำหน้าแตกต่างจากช่วงเวลาหลังผ่าตัด 6-7 วัน (t = .63, p < .05) และหลังผ่าตัด 13-14 วัน (t = .43, p <.05) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หลังผ่าตัด 6-7 วัน และหลังผ่าตัด 13-14 วัน มีจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลุ่มทดลองมีความสามารถในการมองเห็นที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในช่วงหลังผ่าตัด 1 เดือน เมื่อเทียบกับช่วง 6-7 วัน (t = 0.10, p < 0.05)แต่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม และร้อยละของจำนวนผู้ป่วยที่มีการติดกลับของจอประสาทตาหลังผ่าตัดในกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุม ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ 1) ควรส่งเสริมให้พยาบาลวิชาชีพได้เรียนรู้และนำวิธีการตั้งเป้าหมายร่วมกับผู้ป่วยมาใช้ในการให้คำแนะนำทั้งก่อนและหลังผ่าตัด มีการติดตามผู้ป่วยหลังผ่าตัดเพื่อความต่อเนื่องของพฤติกรรม การคว่ำหน้าหลังผ่าตัดในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดจอประสาทตาหลุดลอกแบบใส่แก๊สเพื่อเป็นการส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยและผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีหลังได้รับการดูแลรักษา 2) ควรเพิ่มระยะเวลาการติดตามผลลัพธ์ทางคลินิกอย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน ถึง 6 เดือน ร่วมกับการศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอประสาทตาหลุดลอก 3) ควรมีการพัฒนาโปรแกรมการตั้งเป้าหมายพฤติกรรมการคว่ำหน้าในผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอประสาทตาหลุดลอกแบบใส่น้ำมันซิลิโคนเพื่อลดอัตราการเข้ารับการผ่าตัดซ้ำ และ 4) การศึกษาวิจัยครั้งนี้ควรมีการศึกษาข้อมูลที่อาจมีผลต่อการคว่ำหน้า เช่น น้ำหนักตัว การวินิจฉัยตำแหน่งการหลุดลอกของโรค โรคเบาหวาน
คำสำคัญ : ผลลัพธ์ทางคลินิก พฤติกรรมการคว่ำหน้า การตั้งเป้าหมายร่วม จอประสาทตาหลุดลอก การผ่าตัดจอประสาทตาหลุดลอกแบบใส่แก๊ส

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
1.
คงเจริญ ว, ชัยวิบูลย์ธรรม ส, พินิจขจรเดช น. ผลของโปรแกรมการตั้งเป้าหมายร่วมต่อพฤติกรรมการคว่ำหน้าและผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยหลังผ่าตัดจอประสาทตาหลุดลอกแบบใส่แก๊ส. Nurs Res Inno J [อินเทอร์เน็ต]. 28 สิงหาคม 2025 [อ้างถึง 28 ธันวาคม 2025];31(2). available at: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RNJ/article/view/273031
ประเภทบทความ
Research Articles

เอกสารอ้างอิง

World Health Organization. Fact sheets: visual impairment and blindness [monograph on theInternet].2014. [cited 2019 Jun 4]. Available from: www.who.int.

The Royal College of Ophthalmologists. Performance report of the Royal College of Ophthalmologists of Thailand for the year 2018. Bangkok: The Royal College of Ophthalmologists; 2018.

Suwanpimolkul A. Complications after cataract surgery 2 [Internet]. Isoptik Individual Progressive Lens Center;2022 [cited 2024 Jun 20]. Available from: https://www.isoptik.com/th/article/eyecare/485.

Akkarapipatkul K. (2006). Eye symptoms in physical diseases, part 2. In: Wongkittirak S, Khamphithak K,editors. Textbook of Ophthalmology. Bangkok: Phimdee;2006. p. 152-63.

Songwatthananyuth P. Role of nurse for caring retinal detachment patients. Journal of Nursing and Health Science Research. 2020;12(2):189-201. (in Thai)

Kusaba K, Tsuboi K, Handa T, Shiraki Y, Kataoka T,Kamei M. Evaluation of adjustable postoperative position after pars plana vitrectomy and gas tamponade for primary rhegmatogenous retinal detachment. Invest Ophthalmol Vis Sci. 2018;59(9):4231.

American Academy of Ophthalmology. 2021-2022 Basic and clinical science course, Section 12: Retina and vitreous. San Francisco, CA: American Academy of Ophthalmology; 2021.

Noyudom A. (2018). Care of patients with face-down position after inserting gas in the vitreous cavity.Ramathibodi Nursing Journal. 2018;24(3):239-48. (in Thai)

Lawanasakol S. The effectiveness of information-motivation-behavioral skills Program on face down positioning in post operation of vitreous and retina surgery and gas tamponade. Region11 Medical Journal. 2019;3(33):581-8. (in Thai)

Kim AY, Hwang S, Kang SW, Shin SY, Chang WH, Kim SJ, Noh H. A structured exercise to relieve musculoskeletal pain caused by face-down posture after retinal surgery: a randomized controlled trial. Sci Rep. 2021;11:22074.

Takenami T, Tanaka K, Suzuki T, Hiruma H, Ikeda T,Sugimura K. Increase in intraoperative intraocular pressure in the prone position. Spine Surg Relat Res.2024;8(4):458-65. doi:10.22603/ssrr.2023-0263.

Eaton J, Johnson R. Coaching successfully. London:Dorling Kindersley; 2001.

Wilson SL, Powell GE, Brock D, Thwaites H. Behavioural differences between patients who emerged from vegetative state and those who did not. Brain Inj. 1996;10(7):509-16. doi: 10.1080/026990596124223.

Schick T, Heimann H, Schaub F. Retinal detachment part 1-epidemiology, risk factors, clinical characteristics,diagnostic approach. Klin Monbl Augenheilkd.2020;237(12):1479-91. doi: 10.1055/a- 1243-1363.

Finn AP, Sternberg P Jr. Considering the patient, surgeon,and health care system in the timing of retinal detachment repair. Ophthalmol Retina. 2023;7(5):373-4. doi:10.1016/j.oret.2023.02.012.

King IM. A theory for nursing: Systems, concepts, process.New York: Wiley; 1981.

Chayarut P, Roojanavech S, Chatdokmaiprai K. The effects of health risk communication program among diabetic retinopathy patients in a community Samut Sakhon Province. Journal of The Royal Thai Army Nurses.2021;20(3):206-17. (in Thai)

Faul F, Erdfelder E, Lang AG, Buchner A. G* Power 3:A flexible statistical power analysis program for the social,behavioral, and biomedical sciences. Behav Res Methods.2007;39(2):175-91. doi: 10.3758/BF03193146.

Brooke P, Bullock R. Validation of a 6 item cognitive impairment test with a view to primary care usage. Int JGeriatr Psychiatry. 1999;14(11):936-40.

Aree-Ue S, Youngcharoen P. The 6 item cognitive function test-Thai version: Psychometric property testing.Ramathibodi Nursing Journal. 2020;26(2):188-202.(in Thai)

Pasu S, Bell L, Zenasni Z, Lanz D, Simmonds IA,Thompson A, et al. Facedown positioning following surgery for large full-thickness macular hole. JAMA Ophthalmol. 2020;138(7):725–30. doi:10.1001/jamaophthalmol.2020.0987.

Timothy D, Mutanga O, Ismail R. Quantifying aboveground biomass in African environments: a review of the trade-offs between sensor estimation accuracy and costs. Trop Ecol. 2016;57(3):393-405.

Rao X, Wang NK, Chen YP, Hwang YS, Chuang LH, Liu IC, et al. Outcomes of outpatient fluid-gas exchange for open macular hole after vitrectomy. Am J Ophthalmol.2013;156(2):326-33. doi: 10.1016/j.ajo.2013.03.031.

Shaheen AR, Iyer PG, Flynn HW, Yannuzzi NA. Retinal displacement following repair of rhegmatogenous retinal detachment. Oman J Ophthalmol. 2023 May-Aug;16(2):205–10. doi: 10.4103/ojo.ojo_187_22.

Schöneberger V, Tahmaz V, Menghesha L, Lüke JN,Cursiefen C, Schaub F, et al. Retinal detachment rates after uncomplicated dmek versus cataract surgery combined (Triple-) DMEK. Cornea. 2024. doi:10.1097/ICO.0000000000003554.