ประสิทธิผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมในการทำคลอดปกติโดยใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงของนักศึกษาพยาบาล: การศึกษาติดตาม
DOI:
https://doi.org/10.60099/jtnmc.v40i4.275852คำสำคัญ:
การคลอดปกติ , การสอบทักษะทางคลินิก , ความพึงพอใจ , ความมั่นใจ , เทคโนโลยี , เทคโนโลยีเสมือนจริงบทคัดย่อ
บทนำ การเตรียมความพร้อมในการทำคลอดปกติถือเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาพยาบาลก่อนเข้าสู่การฝึกปฏิบัติจริง เนื่องจากกระบวนการเรียนรู้ในสถานการณ์จริงมักประสบข้อจำกัดหลายประการ ทั้งในด้านจำนวนผู้รับบริการที่ไม่เพียงพอ ลักษณะของสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์หรือควบคุมได้ ตลอดจนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ป่วย ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนทักษะทางคลินิกของผู้เรียน และอาจส่งผลต่อความมั่นใจในการปฏิบัติงาน ซึ่งเทคโนโลยีเสมือนจริง เป็นเครื่องมือที่สามารถจำลองสถานการณ์ที่มีความสมจริงภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสามารถควบคุมได้ ผู้เรียนจึงสามารถฝึกฝนทักษะซ้ำได้หลายครั้งโดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ป่วยจริง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อติดตามผลของการเตรียมความพร้อม ในการทำคลอดปกติที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานต่อความพึงพอใจ ความมั่นใจ และคะแนนการสอบทักษะทางคลินิกในการทำคลอดปกติ ในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจในการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงสถานการณ์การคลอดปกติ ความมั่นใจ และคะแนนการสอบทักษะทางคลินิกในการทำคลอดปกติ ในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 ระหว่างกลุ่มเตรียมความพร้อมตามเกณฑ์มาตรฐานและกลุ่มเตรียมความพร้อมสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
การออกแบบการวิจัย การวิจัยเชิงพรรณนาแบบเก็บข้อมูลติดตามไปข้างหน้า โดยใช้กรอบแนวคิด การเรียนรู้ด้วยตนเองของ Garison มาประยุกต์ใช้ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาแนวทางในการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง แนวคิดดังกล่าวสามารถเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียนในหลายมิติ ได้แก่ การบริหารจัดการตนเอง การติดตาม ควบคุมตนเอง และแรงจูงใจในการเรียนรู้
การดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 หลักสูตรพยาบาบาลศาสตรบัณฑิต สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย ที่ลงทะเบียนในรายวิชาการพยาบาลมารดาทารก และการผดุงครรภ์ 1 ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2566 และรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 ภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2567 จำนวน 198 คน เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูล จากประชากรทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์ในช่วงเวลาที่กำหนด จึงไม่มีการคำนวณขนาดตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินคะแนนการฝึกทำคลอดปกติด้วยสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริง มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1 แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้เทคโนโลยี เสมือนจริงสถานการณ์การคลอดปกติ ความมั่นใจในการทำคลอดปกติ มีค่าความเชื่อมั่น โดยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .92 และแบบการสอบทักษะทางคลินิกในการทำคลอดปกติ ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ Mann-Whitney U test กำหนดระดับนัยสำคัญที่ .05
ผลการวิจัย กลุ่มเตรียมความพร้อมสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่มีการใช้สื่อ Vitual Reality (VR) การคลอดปกติ ในการฝึกทำคลอดปกติด้วยตนเองโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง มีคะแนนนนการสอบทักษะทางคลินิกในการทำคลอดปกติ (M = 26.05, SD = 3.17) มากกว่ากลุ่มเตรียมความพร้อมตามเกณฑ์มาตรฐาน (M = = 24.73, SD = 3.83) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = -2.430,p =.015) อย่างไรก็ตาม ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีเสมือนจริง และความมั่นใจในการเตรียมความพร้อมในการทำคลอดปกติ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงมีศักยภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ดังนั้นจึงควรมีการบูรณาการสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเข้าสู่กระบวนการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะปฏิบัติจริงอย่างเป็นระบบ เพื่อให้นักศึกษาเกิดความคุ้นเคยและสามารถใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น การศึกษาครั้งนี้เป็นเชิงเปรียบเทียบ จึงควรมีการออกแบบวิจัยครั้งต่อไปให้สามารถควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้องได้อย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสุ่มตัวอย่างหรือการจัดกลุ่มอย่างชัดเจน
Downloads
เอกสารอ้างอิง
Alinier G. A guide to simulation-based learning for healthcare practitioners: Best practices and practical applications. 1st ed. Springer Publishing; 2019. https://doi.org/10.1007/978-3-030-29540-3.
Radwan MN, Metwally HS, Desoky M. Immersive virtual reality application on labor pain, anxiety and satisfaction among laboring women. Assiut Sci Nurs J. 2024;12(43):136-49. https://doi.org/10.21608/asnj.2024.279948.1805
Dumon KL, Chuang L, Swenson CW, Stovall DW. The use of virtual reality in clinical skills training: An emerging tool for obstetrics and gynecology education. Obstet Gynecol Clin North Am. 2020; 47(4):697–710. https://doi.org/10.1016/j.ogc.2020.07.007
Mylonakis E, Adams J, Rosenblatt M. The use of virtual reality in medical training: A systematic review. Adv Med Educ Pract. 2021;12:923–40. https://doi.org/10.2147/AMEP.S315890.
Elshamaa SS. How to apply Simulation-Based Learning in Medical Education? Iberoam J Med. 2020;2:79-86. https://doi:10.5281/zenodo.3685233.
Rosen MA, Hunt EA, Pronovost PJ, Weaver SJ. Enhancing teamwork in the ICU through simulation: A randomized controlled trial. J Patient Saf. 2020;16(1): 1–8. https://doi.org/10.1097/PTS.0000000000000767.
Garrison DR. Self-directed learning: Toward a comprehensive model. Adult Educ Q. 1997;48(1): 18–33. https://doi.org/10.1177/074171369704800103.
Kulchat K, Phanngam N, Kua-sri J, Neelasmith S, Thepha T, Phanthuchin C, et al. Effects of simulation-based learning for preparation of midwifery practicum on knowledge, satisfaction, and self-confidence of the fourth year nursing students, Faculty of Nursing, Khon Kaen. J Nurs Sci Health. 2022;45(1):112–23. (in Thai)
Aebersold M. Simulation-based learning: No longer a novelty in undergraduate education. OJIN Online J Issues Nurs. 2018;23(2). https://doi.org/10.3912/OJIN.Vol23No02PPT39.
Hoffman BL, Schorge JO, Halvorson LM, Hamid CA, Corton MM, Schaffer JI, editors. Williams Gynecology. 4th ed. McGraw-Hill Education; 2020.
Jeffries PR, Rizzolo MA. Designing and implementing models for the innovative use of simulation to teach nursing care of ill adults and children: A national multi-site, multi-method study. New York: National League for Nursing; 2006. p. 632–9.
Sung H, Kim M, Park J, Shin N, Han Y. Effectiveness of Virtual Reality in Healthcare Education: Systematic Review and Meta-Analysis. Sustainability. 2024; 16(19):8520. https://doi.org/10.3390/su16198520.
Visan IG, Toma CV, Petca R, Petrescu GED, Noditi AR, Petca A. Exploring the efficacy of virtual reality training in obstetric procedures and patient care-A systematic review. Healthcare (Basel). 2025;13(7):784. https://doi.org/10.3390/healthcare13070784 PMID: 40218081
Charoenwong Z, Pattanasit S, Rampai N. The effect of using a virtual simulation environmental management model to enhance nursing competency and self-efficacy of nursing students. Police Nurs Health Sci J. 2020; 12(2):409–16. (in Thai)
Wadyim N, Ekthamasuth C, Suwannato P. Effects of simulation-based learning for preparation on knowledge and confidence in providing nursing care during the first stage of labor among nursing students. JBCN Bangkok [Internet]. 2024 Aug 21 [cited 2025 Apr 8];40(2):88–99. Available from: https://he01.tcithaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/view/270710 (in Thai)
Frankenstein AN, Udeogu OJ, McCurdy MP, Sklenar AM, Leshikar ED. Exploring the relationship between retrieval practice, self-efficacy, and memory. Mem Cogn. 2022;50(6):1299–1318. doi:10.3758/s13421-022-01324-z.
Al Gharibi KA, Schmidt N, Arulappan J. Effect of repeated simulation experience on perceived self-efficacy among undergraduate nursing students. Nurse Educ Today. 2021;106:105057. https://doi: 10.1016/j.nedt.2021.105057.
ldan Çalım S, Cambaz Ulaş S, Demirci H, Tayhan E. Effect of simulation training on students’ childbirth skills and satisfaction in Turkey. Nurse Educ Pract. 2020;46:102808. https://doi.org/10.1016/j.nepr.2020.102808.
Chang E. The role of simulation training in obstetrics: A healthcare training strategy dedicated to performance improvement. Curr Opin Obstet Gynecol. 2013;25(6):482-6. https://doi:10.1097/GCO.0000000000000030.
Mühling T, Späth I, Backhaus J, Milke N, Oberdörfer S, Meining A, et al. Virtual reality in medical emergencies training: Benefits, perceived stress, and learning success. Multimed Syst. 2023;29:2239–52. https://doi.org/10.1007/s00530-023-01102-0.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.



