ผลของโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและญาติผู้ดูแล ระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้านต่อความสามารถในการปฏิบัติ กิจวัตรประจำวันภาวะแทรกซ้อน และความพึงพอใจของผู้ป่วย

Abstract

 บทคัดย่อ: วัตถุประสงค์:เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและญาติ ผู้ดูแลระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้านต่อความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันภาวะ แทรกซ้อนและความพึงพอใจของผู้ป่วย

การออกแบบการวิจัยวิจัย:การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง

วิธีดำเนินการวิจัย:กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและญาติผู้ดูแล จำนวน 60 คู่ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มควบคุมจำนวน 30 คู่และกลุ่มทดลองจำนวน 30 คู่ กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ ส่วนกลุ่มตัวอย่างกลุ่มทดลองได้รับการดูแลปกติร่วมกับการดูแล ด้วยโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและญาติผู้ดูแลระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาล สู่บ้าน เก็บรวมรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน แบบประเมินภาวะแทรกซ้อน และแบบ ประเมินความพึงพอใจในบริการที่ได้รับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย สถิติที และไคสแควร์

ผลการวิจัย: 1. หลังการจำหน่าย 1 เดือน กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกลุ่มทดลองมี คะแนนความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p<.001)

2. หลังการจำหน่าย 1 เดือน กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งสองกลุ่ม ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน

3. หลังการจำหน่าย 1 เดือน คะแนนความพึงพอใจของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05)

ข้อเสนอแนะ: การนำโปรแกรมการดูแลฯ นี้ไปใช้ ควรปรับกิจกรรมในโปรแกรมให้เหมาะสม กับระดับความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย

Abtract: Objective: To examine the efficacy of a transitional care programme designed
to engage family caregivers in helping stroke patients perform their routine activities,
and to evaluate the patients’ complications and satisfaction with the programme.
Design: Two-group experimental research with a pre-test and a post-test.
Implementation: This study was conducted on a sample of 60 pairs of participants,
each pair consisting of a stroke patient and his/her family caregiver. The pairs were equally
divided into a control group and an experimental group. Whilst the control group was given
standard treatment, the experimental group received, together with standard treatment,
the transitional care programme that engaged the participants’ family caregivers. Data were
collected through an interview questionnaire consisting of (1) a personal information
form; (2) a routine activity performance form; (3) a complication recording form; and
(4) a satisfaction rating form. The data were analysed using descriptive statistics, t-test
statistics and chi-square.
Results: From the study, three important findings were made. First, the participants
in experimental group achieved a significantly higher routine activity performance
score than those in the control group (p < .001). Second, one month after discharge,
no complications were found in the control group and the experimental group. Third,
one month after discharge, the participants in experimental group showed a significantly
higher degree of satisfaction than those in the control group (p < .05).
Recommendations: It is suggested that this programme be applied to examining
the routine activity performance ability of different groups of patients.