ผลของการส่งเสริมการกำกับตนเองต่อการปฏิบัติเทคนิคปลอดเชื้อในการจัดการแผลของพยาบาลวิชาชีพแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
คำสำคัญ:
เทคนิคปลอดเชื้อ, การจัดการแผล, การกำกับตนเอง, อุบัติเหตุและฉุกเฉิน, การป้องกันการติดเชื้อบทคัดย่อ
การติดเชื้อที่แผลในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินของโรงพยาบาลมีอุบัติการณ์สูง ส่วนหนึ่งเกิดจากการปฏิบัติเทคนิคปลอดเชื้อไม่ถูกต้องในการจัดการแผล การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองวัดผลก่อนและหลังและมีกลุ่มควบคุม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการส่งเสริมการกำกับตนเองต่อการปฏิบัติเทคนิคปลอดเชื้อในการจัดการแผลของพยาบาลวิชาชีพในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 5 ด้าน ได้แก่ การควบคุมสิ่งแวดล้อม การทำความสะอาดมือ การใส่อุปกรณ์ป้องกัน การควบคุมเขตปลอดเชื้อ และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสของปราศจากเชื้อด้วยมือ กลุ่มตัวอย่างได้แก่พยาบาลวิชาชีพในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินในโรงพยาบาลชุมชน 2 แห่ง ช่วงเวลาที่ศึกษาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2559 สุ่มตัวอย่างโรงพยาบาลแบบง่ายโดยวิธีจับฉลากเข้ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง สังเกตเหตุการณ์ทำแผลและเย็บแผลอย่างละ 18 เหตุการณ์ กลุ่มทดลองเป็นกลุ่มที่ได้รับการส่งเสริมการกำกับตนเองต่อการปฏิบัติเทคนิคปลอดเชื้อในการจัดการแผลตามแนวคิดการกำกับตนเองของแบนดูราร่วมกับให้แนวปฏิบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบสังเกตการปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพเกี่ยวกับการปฏิบัติเทคนิคปลอดเชื้อในการจัดการแผล ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.94 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบสัดส่วนการปฏิบัติโดยใช้สถิติไคสแควร์
ผลการวิจัยพบว่า พยาบาลวิชาชีพในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินหลังได้รับการส่งเสริมการกำกับตนเองมีสัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคนิคปลอดเชื้อในการจัดการแผลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 62.53 เป็นร้อยละ 89.36 (p<.05) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีสัดส่วนการปฏิบัติถูกต้องเพิ่มมากที่สุด ได้แก่ ด้านการทำความสะอาดมือเพิ่มจากร้อยละ 25.37 เป็นร้อยละ 84.50 (p<.05) รองลงมาคือด้านการใส่อุปกรณ์ป้องกันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 81.11 เป็นร้อยละ 100 (p<.05) แต่สำหรับด้านที่ไม่แตกต่างทางสถิติ ได้แก่ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสของปราศจากเชื้อด้วยมือเพิ่มจากร้อยละ 96.67 เป็นร้อยละ 100 ด้านการควบคุมเขตปลอดเชื้อเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 98.33 เป็นร้อยละ 100 และด้านการควบคุมสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47.50 เป็นร้อยละ 63.16 ทั้งนี้ในกลุ่มควบคุมร้อยละของการปฏิบัติยังคงเดิม และต่ำกว่ากลุ่มทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05)
ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการส่งเสริมการกำกับตนเองในการปฏิบัติเทคนิคปลอดเชื้อได้ผลและควรนำไปใช้เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติแก่พยาบาลวิชาชีพแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินในด้านการทำความสะอาดมือ และด้านการใส่อุปกรณ์ป้องกันต่อไป ส่วนกิจกรรมด้านการควบคุมสิ่งแวดล้อมยังมีการปฏิบัติต่ำควรประยุกต์ใช้กลยุทธ์อื่นในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปฏิบัติในการควบคุมสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้องเพิ่มมากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Bandura, A. (1991). Social cognitive theory of self-regulation. Organizational Behavior and Human Decision Process, 50(2), 248-287.
Bandura, A. (1997). Social learning theory. Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice-Hall.
Bukhari, S. Z., Hussain, W. M., Banjar, A., Almaimani, W. H., Karima, T. M., & Fatani, M. I. (2011). Hand hygiene compliance rate among healthcare professionals. Saudi Medical Journal, 32(5), 515-519.
Ekjit, A. (2012). Effect of self-regulation and education on practices of tuberculosis prevention among patients. (Master of Nursing Science). Graduate School, Chiang Mai university.
(In Thai).
Junkeaw, D. Picheansathean, W., & Yimyam, S. (2013). Effect of creative solving on the use of glove among health care workers. Nursing Journal, 40(5), 1-13.
Marra, A. R., Noritomi, D. T., Westheimer Cavalcante, A. J., Sampaio Camargo, T. Z., Bortoleto, R. P., Durao Junior, M. S., & Edmond, M. B. (2013). A multicenter study using positive deviance for improving hand hygiene compliance. American Journal of Infection Control, 41(11), 984-988. doi: 10.1016/j.ajic.2013.05.013
National Hospital Ambulatory Medical Care Survey. (2010). Emergency Department Summary Tables. Retrieved from http://www.cdc.gov/nchs/fastats/emergency-department.htm
Nawar, E. W., Niska, R. W., & Xu, J. (2007). National hospital ambulatory medical care survey: 2005 emergency department summary. Emergency, 110(4,000).
Quinn, J. V., Polevoi, S. K., & Kohn, M. A. (2014). Traumatic lacerations: what are the risks for infection and has the ‘golden period’of laceration care disappeared? Emerging Medical Journal, 31(2), 96-100. doi: 10.1136/emermed-2012-202143
Spence, R., & Rutherford, W. (1984). Wound infection following surgery in an accident and emergency theatre. Archives of Emergency Medicine, 1(1), 23-27.
Williams, F., & Waterman, H. (1996). An examination of nurses’ practices when performing aseptic technique for wound dressings. Journal of Advanced Nursing, 23(1), 48-54.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว