การดำเนินการและอุปสรรคในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาหลายขนาน ของโรงพยาบาลชุมชน
คำสำคัญ:
เชื้อดื้อยาหลายขนาน, การดำเนินการ, อุปสรรค, การป้องกัน, โรงพยาบาลชุมชนบทคัดย่อ
การติดเชื้อในโรงพยาบาลจากเชื้อดื้อยาหลายขนานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินการและอุปสรรคในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาหลายขนานของโรงพยาบาลชุมชน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือพยาบาลควบคุมการติดเชื้อของโรงพยาบาลชุมชน จำนวน 301 คน รวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 โดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วยข้อมูล 4 ส่วนคือ ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลทั่วไปของโรงพยาบาลชุมชน การดำเนินการและอุปสรรคในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาของโรงพยาบาลชุมชน ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 6 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา 0.97 และ 0.98 ตามลำดับ และทดสอบหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ ได้ค่า 0.94 และ 0.95 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมที่โรงพยาบาลชุมชนสามารถดำเนินการได้มากกว่าร้อยละ 80 คือ การควบคุมสิ่งแวดล้อม (ร้อยละ 94.1) การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา (ร้อยละ 90.4) การทำลายเชื้อและการทำให้ปราศจากเชื้อ (ร้อยละ 87.4) และการมีระบบการรับและส่งต่อผู้ป่วย (ร้อยละ 87.4)ตามลำดับ กิจกรรมที่โรงพยาบาลชุมชนดำเนินการได้ต่ำกว่าร้อยละ 80 คือ การให้ความรู้แก่บุคลากร ผู้ป่วยและญาติ (ร้อยละ 79.4) การเก็บสิ่งส่งตรวจ (ร้อยละ 78.6) การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างถูกต้องเหมาะสม (ร้อยละ 66.8) การเฝ้าระวังการติดเชื้อดื้อยาหลายขนาน (ร้อยละ 65.4) การสนับสนุนของผู้บริหาร (ร้อยละ 64.9) และการสื่อสาร (ร้อยละ 60.0) อุปสรรคในการดำเนินการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาหลายขนานที่พบมากถึงมากที่สุด คือ อุปสรรคด้านบุคลากร (ร้อยละ 37.7) ด้านงบประมาณ (ร้อยละ 35.6) ด้านวัสดุอุปกรณ์ (ร้อยละ 34.0) และด้านบริหาร (ร้อยละ 32.7)
ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นความจำเป็นในการส่งเสริมการดำเนินการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาหลายขนานของโรงพยาบาลชุมชนโดยเฉพาะกิจกรรมที่โรงพยาบาลชุมชนยังคงมีการดำเนินการได้น้อย รวมทั้งสนับสนุนสิ่งที่จำเป็นต่าง ๆ เพื่อให้โรงพยาบาลชุมชนสามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เอกสารอ้างอิง
Bhatia, R. (2011). The burgeoning challenge of antimicrobial resistance. Regional Health Forum. 15(1), 5-8.
Jamsangtong, M. (2015). Implementation of multidrug resistant bacteria transmission prevention among regional hospitals. (Master’s thesis) Faculty of Nursing, Chiang Mai University (In Thai)
Molton, J. S., Tambyah, P. A., Ang, B. S., Ling, M. L., & Fisher, D. A. (2013). The global spread of healthcare-associated multidrug-resistant bacteria: A perspective from Asia. Clinical infectious diseases, 56(9), 1310-1318.
National Antimicrobrial Resistant Surveillance Thailand. (2017). Antimicrobail Resistance Situation 2001-2017. Retrieve from http://narst.dmsc.moph.go.th/news 001.thml
New Hampshire Communicable Disease Epidemic Control Committee. (2015). Recommendations for the Prevention and Control of Multidrug-Resistant Organisms (MDROs) and Clostridium difficile Infection (DCI) for Healthcare Agencies and Community Setting. Retrieve from https://www. dhhs.nh.gov> hai > mdro
Phumart, P., Phodha, T., Thamlikitkul, V., Riewpaiboon, A., Prakongsai, P., & Limwattananon, S. (2012). Health and economic impacts of antimicrobial resistant infection in Thailand. Journal of Health System Research. 6(3), 352-360. (In Thai)
Safdar, N., Sengupta, S., Musuuza, J. S., Juthani-Mehta, M., Drees, M., Abbo, L. M., ... & Morgan, D. J. (2016). Status of the prevention of multidrug-resistant organisms in international settings: A Survey of the Society for Healthcare Epidemiology of America Research Network. Infection Control & Hospital Epidemiology, 38(1), 53-60. doi: 10.1017/ice.2016.242
Weinstein, R. A. (2011). Staphylococcus aureus bacteremia and endocarditis: Marking and impact on outcome. Infection Diseases in Clinical Practice, 19(4), 238-242.
World Health Organization. (2012). The evolving threat of antimicrobial resistance: Options for action. Retrieve from http://www.who.int/patientsafty/implementation/amr/publication/en/
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว