เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เพื่อส่งบทความ

ในขั้นตอนการส่งบทความ ผู้แต่งต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดรายการตรวจสอบการส่งทุกข้อ ดังต่อไปนี้ และบทความอาจถูกส่งคืนให้กับผู้แต่งกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมด

  • ต้นฉบับจัดหน้าแบบ double-spaced โดยใช้ฟอนต์ Cordia ขนาด 14 points ใช้ตัวเอียงแทนการใช้การขีดเส้นใต้ (ยกเว้น URL address) ตามด้วยรูปและตารางในส่วนท้ายของต้นฉบับ
  • ต้นฉบับบทความนี้ไม่เคยตีพิมพ์หรือกำลังได้รับการพิจารณาจากวารสารอื่น
  • ตันฉบับเป็นไฟล์จากโปรแกรม Microsoft Word, OpenOffice หรือ RTF
  • การจัดรูปแบบต้นฉบับเป็นไปตามรูปแบบและข้อกำหนดจากคำแนะนำสำหรับผู้แต่ง

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

หลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ลงในวารสารกายภาพบำบัด (Thai J Phys Ther)

 

***ก่อนส่งบทความ โปรดศึกษาวิธีการอย่างละเอียดในการส่งบทความวารสารกายภาพบำบัดผ่านระบบ ThaiJo (วิธีการส่งบทความ)

Download files for journal submission 

 

ประเภทบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร ประกอบด้วย บทความวิจัย หรือนิพนธ์ต้นฉบับ (Research report/Original article) บทความวิชาการ (Review article) รายงานกรณีศึกษา (Case study report) หรือจดหมายถึงบรรณาธิการ (Letter to the editor) 

 

เอกสารสำหรับส่งกองบรรณาธิการในระบบ

  1. ไฟล์เอกสารแสดงความยินยอมให้ตีพิมพ์ในวารสารกายภาพบำบัดและคำรับรองว่าบทความที่ส่งมานั้นเป็นบทความต้นฉบับที่ไม่เคยส่งวารสารใดมาก่อนและไม่ส่งบทความนี้เพื่อพิจารณาในวารสารอื่นในขณะเดียวกัน พร้อมทั้งการลงนามจากผู้เขียนทุกคน (แบบฟอร์มขอส่งตีพิมพ์) 
  2. ไฟล์เอกสารที่ประกอบด้วย
    1. Title page (หน้าแรก) ประกอบด้วย (ไฟล์ตัวอย่าง Title page)
      1. ชื่อเรื่องทั้งภาษาไทยและอังกฤษ 
      2. ชื่อผู้เขียนให้มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ 
      3. สังกัดของผู้แต่งทั้งภาษาไทยและอังกฤษ 
      4. ระบุชื่อผู้รับผิดชอบบทความ (Corresponding author) ที่อยู่และอีเมล์
    2. Main article text (เนื้อหาบทความ) โดยมีการเรียงเนื้อหาตามที่วารสารกำหนด ซึ่งในไฟล์ต้องไม่มีชื่อผู้เขียนและสังกัด  ประกอบด้วย (ไฟล์ตัวอย่าง Main article text)
      1. ชื่อเรื่องทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
      2. บทคัดย่อภาษาไทยและอังกฤษ
      3. คำสำคัญ/keyword ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อย่างละไม่เกิน 5 คำ
      4. เนื้อหาบทความทั้งหมด (บทนำ วิธีการวิจัย ผลการวิจัย บทวิจารณ์ สรุปผล กิตติกรรมประกาศ เอกสารอ้างอิง) 
    3. Table (ตาราง) ไฟล์ตารางประกอบควรอยู่ในรูปแบบไฟล์ Word ไม่ใช้รูปภาพ โดยให้เรียงลำดับตารางทั้งหมดในไฟล์เดียวกัน
    4. Figure (รูปภาพ) ไฟล์รูปภาพประกอบส่งแยกจากบทความ โดยแยก 1 ไฟล์ต่อ 1 รูป ใน format รูปภาพ (ในรูปแบบไฟล์ JPEG หรือ TIFF) และมีความละเอียดของรูปมากกว่า 300 dpi โดยกำหนดชื่อไฟล์ตามลำดับของรูปที่ปรากฏในบทความ
    5. Application and Declaration form (เอกสารขอส่งตีพิมพ์) เป็นไฟล์ scan ในรูปแบบไฟล์ PDF โดยผู้แต่งทุกคนต้องลงนามในเอกสารนี้  (แบบฟอร์มขอส่งตีพิมพ์) 
    6. Ethical approval documents (เอกสารผ่านการพิจารณาจริยธรรม) เป็นไฟล์ scan ในรูปแบบไฟล์ PDF แสดงหลักฐานการผ่านการพิจารณาจริยธรรมของโครงการวิจัย

 

การเตรียมเรื่อง  

  1. ภาษาที่ใช้คือ ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ในกรณีที่เป็นบทความวิจัย ขอให้มีบทคัดย่อ (abstract) ทั้งภาษา ไทยและภาษาอังกฤษ 
  2. ในกรณีที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ บทความวิจัยต้องไม่เกิน 4,000 คำ และบทความวิชาการต้องไม่เกิน 6,000 คำ ซึ่งนับรวมบทคัดย่อด้วย ส่วนของภาพ/ตาราง รวมกันไม่เกิน 5 ภาพ/ตาราง โดยแต่ละภาพ/ตารางให้แยกไฟล์เป็นไฟล์ละหนึ่งภาพ/ตาราง
  3. ในกรณีที่เขียนเป็นภาษาไทยต้องมีบทคัดย่อเป็นภาษาอังกฤษความยาวไม่เกิน 250 คำร่วมด้วย และแบ่งเนื้อหาของบทคัดย่อออกเป็นส่วยย่อยดังนี้ ที่มาและความสำคัญ, วัตถุประสงค์, วิธีการวิจัย, ผลการวิจัย, สรุปผล (Background, Objective, Method, Result, Conclusion) และมีคำสำคัญ/Keyword ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ อย่างละไม่เกิน 5 คำ)
  4. ใส่ชื่อ ที่อยู่ และ email ของผู้เขียนที่รับผิดชอบบทความ (corresponding authors) และกรอกรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่ และ email ของผู้เขียนทุกคนลงในระบบ  
  5. ใช้  Font Cordia New ขนาด 14 ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ จัดเตรียมรูปแบบให้อยู่ในลักษณะเว้นบรรทัด (double spaced) โดยกำหนดระยะขอบทุกด้าน 1 นิ้ว ใส่หมายเลขบรรทัด และหน้าให้ชัดเจน 
  6. การจัดลำดับเนื้อหาบทความ ดังนี้ 
    1. ในกรณีที่เป็นบทความวิจัย
      1. บทคัดย่อ (ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ โดยมี คำสำคัญ/keyword ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อย่างละไม่เกิน 5 คำ) (ตัวอย่างบทคัดย่อ)
      2. บทนำ 
      3. วิธีการวิจัย *กรณีที่เป็นการวิจัยในมนุษย์ต้องระบุว่าผ่านการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยของสถาบัน พร้อมทั้งระบุเลขที่การอนุมัติจริยธรรมการวิจัย*
      4. ผลการวิจัย 
      5. บทวิจารณ์
      6. สรุปผล
      7. กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี) 
      8. เอกสารอ้างอิงเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น (ในกรณีที่เอกสารอ้างอิงเป็นภาษาไทยขอให้ปรับเอกสารที่อ้างอิงนั้นเป็นภาษาอังกฤษ)
    2. ในกรณีที่เป็นบทความวิชาการ
      1. บทคัดย่อ (ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ โดยมี คำสำคัญ/keyword ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อย่างละไม่เกิน 5 คำ) 
      2. เนื้อหาบทความต้องระบุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน แสดงถึงการสังเคราะห์เนื้อหาจากการทบทวนวรรณกรรมที่อ้างอิง และผ่านการเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ
      3. เอกสารอ้างอิงเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น (ในกรณีที่เอกสารอ้างอิงเป็นภาษาไทยขอให้ปรับเอกสารที่อ้างอิงนั้นเป็นภาษาอังกฤษ) และไม่รับการอ้างอิงจาก website
  7. เอกสารอ้างอิงในเนื้อเรื่องใช้ระบบ Vancouver ควรเรียงตามลำดับเลขที่ โดยใส่ ตัวเลขเป็นตัวยก ตัวตรง ไม่มีวงเล็บ (superscript) ต่อท้ายข้อความนั้นๆ 
  8. เอกสารอ้างอิงท้ายบทความ ไม่ควรอ้างอิงเกิน 40 รายการ และใช้ระบบ Vancouver ดังนี้ 
    1. การอ้างอิงวารสาร 
  • Shirado O, Ito T, Kaneda K, Strax TE. Electromyographic, analysis of four techniques for isometric trunk muscle exercises. Arch Phys Med Rehabil. 1995; 76(3): 225-9. 
  • Chaipinyo K. Test-Retest Reliability and Construct Validity of the Thai Version of Knee Osteoarthritis Outcome Scores (KOOS). Thai J of Phys Ther. 2009; 31(2): 67-76 *ตัวอย่างวารสารภาษาไทยที่ปรับเป็นอังกฤษ *
    1. การอ้างอิงหนังสือและโมโนกราฟ
      1. ผู้นิพนธ์ที่เป็นบุคคล 
  • Osler AG. Complement: mechanisms and functions. Englewood Cliffs: Prentice-Hall, 1976.
      1. ผู้นิพนธ์ที่เป็นคณะบุคคล 
        • American Medical Association Department of Drugs. AMA drug evaluations. 3rd ed. Littleton: Publishing Sciences Group, 1977.
      1. บรรณาธิการ ผู้รวบรวม ประธานที่เป็นผู้นิพนธ์
  • Rhodes AJ, Van Rooyen CE. Textbook of virology: for students and practitioners of medicine and the other health sciences. 5th ed. Baltimore: Williams and Wilkins, 1968
    1. บทหนึ่งในหนังสือหรือตำรา
  • Weinstein L, Swartz MN. Pathogenesis of invading microorganisms. In: Sodeman WA, eds. Pathologic physiology: mechanisms of disease. Philadelphia: WB Saunders, 1974: 457-72. 

*ในกรณีที่มีผู้เขียนเกิน 6 คน ให้เขียนชื่อ 6 คนแรก และต่อด้วย “et al”