การควบคุมและป้ องกั นภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุ เหล็กในเด็กอายุ 6 -12 เดือน
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สถานการณ์ภาวะโลหิตจางเด็กอายุ 6-12 เดือน และ 2) เปรียบเทียบผลระดับระดับความเข้มข้นของฮีโมโกลบินก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการให้ยาน้ำเสริมธาตุเหล็กของเด็กอายุ 6-12 เดือน กลุ่มตัวอย่างผู้ปกครอง เด็กทั้งชายและหญิงเด็กอายุ 6-12 เดือน จำนวน 566 คน และเด็กอายุ 6 เดือน 9 เดือน และ 12 เดือน ที่มารับบริการ ณ คลินิกสุขภาพเด็กดีในปี 2561 โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 283 คน โปรแกรมประกอบด้วยการเจาะเลือดประเมิ นภาวะซีดและการให้รับประทานยาน้ำเสริมธาตุเหล็ก เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์ผู้ปกครองและผลการตรวจฮีโมโกลบินจากเลือด การวิเคราะห์ ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย โดยใช้สถิติที่ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้เด็กอายุ 6 และ 9 เดือนมีภาวะซีดร้อย ละ 16.9 และ 23.3 เมื่อได้รับประทานยาเสริมธาตุเหล็กพบว่าซีดลดลง เหลือร้อยละ 13.4 และ 18.5 ตามลำดับ ความรู้ผู้ปกครอง ความคิดเห็ นในการนำรับประทานยาน้ำเสริมธาตุ เหล็กไปปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง จากผลการศึกษาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการปรับนโยบาย ระบบการคั ดกรองภาวะซีดในเด็ กอายุ 6 เดือน สร้างแนวปฏิบัติที่ดีในการให้บริการโดยสร้างนวัตกรรมเตือนผ่าน Application หรือระบบสารสนเทศโดยการใช้สื่อ Multimedia พร้อม ทั้งประชาสัมพันธ์การส่งเสริมพัฒนาการเด็กผ่านทุกช่องทาง
Article Details
บทความและรายงานวิจัยในวารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข เป็นความคิดเห็นของ ผู้เขียน มิใช่ของคณะผู้จัดทำ และมิใช่ความรับผิดชอบของสมาคมศิษย์เก่าพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสามารถนำไปอ้างอิงได้
เอกสารอ้างอิง
2. World Health Organization. Iron Deficiency Anemia Assessment, Prevention and Control A guide for programme managers. Geneva: World Health Organization. 2001.
3. Prateep M, Chongsuwat R, Saliphan S, Lertlakanawong P. Thailand food and nutrition survey report No. 5, 2006. Nonthaburi: Division of Nutrition, Department of Health, Ministry of Public Health. 2006. (in Thai)
4. Susantitaphong P. Hemoglobin, embryonic red blood cell to help diagnose iron deficiency in Healthy children aged between 6 months to 2 years old. [Thesis certificate showing expertise in Practice medicine Pediatrics]. Bangkok: Chulalongkorn University. 2011. (in Thai)
5. Sookdee J, Wanaratwichit C. Factors affecting iron deficiency anemia among pregnant women receiving antenatal care at sub-districts health promoting hospital. Journal of Health Science Research 2016;10(1):1-7. (in Thai)
6. Viriyautsahakul N. Guidelines for control and prevention of iron deficiency anemia. Nonthaburi: Bureau of Nutrition, Department of Health, Ministry of Public Health; 2013. (in Thai)
7. Deejuthamanee R, Moonrattana A, Arunakul J, Poyam W, Empremsilapa S. Effectiveness of weekly iron supplementation to prevent iron deficiency anemia in secondary school students. VAJIRA NURSING JOURNAL 2018;20(2):13-21. (in Thai)
8. Mongkhonporn W. Situation and results of treatment for anemia in good child health clinic- hospital. Promote health. Health Center 5 Nakhon Ratchasima 2013:15-33. (in Thai).
9. R. Colin C., Joseph L. J., Matthew J. et al. (2010). Iron deficiency anemia and cognitive function in infancy. Pediatrics 2010;126(2):427-434. (in Thai)
10. Tantrachewathorn S, Lohajaroensub S, Incidence and risk factor of iron deficiency anemia in term infants. J Med ASSOC Thai 2005;88(1): 44-51. (in Thai)
11. Leandre R. Fabrigar, Tara K. MacDonald, Duane T. Wegener. The Structure of Attitudes from: The Handbook of Attitudes. [internet]. 2019 [cited 2019 May 20] Available: https://www.routledgehandbooks.com/doi/10.4324/9781410612823.ch3
