Effects of the Health Belief Model Program for Breast Cancer Prevention among Female High School Students in the Bangkok Metropolitan Area

Authors

  • สุปราณี น้อยตั้ง Graduate Students in Master Degree of Science Major in Community Nurse Practitioner, Faculty of Public Health, Mahidol University
  • ปัญญรัตน์ ลาภวงศ์วัฒนา Associate Professor, Department of Public Health Nursing, Faculty of Public Health, Mahidol University
  • ณัฐกมล ชาญสาธิตพร Assistant Professor, Department of Biostatistics, Faculty of Public Health, Mahidol University

Keywords:

breast cancer prevention, health belief model program, female high school students

Abstract

        This study aimed to examine the effects of a health belief model (HBM) program for breast cancer prevention among female high school students (Grade 10) in the Bangkok metropolitan area. This quasi-experimental study comprised an experimental group (n=30) and a comparison group (n=31) whose subjects were randomly recruited by assigned classroom.The experimental group received 4-week activities of the HBM program. The intervention procedures were conducted once a week, consisting of health education, group discussion, videotape, modeling, skills training on breast self-examination (BSE) and buddy friends in the classroom. Data were collected by self-administered questionnaires and a checklist for technical skills before intervention, immediately after intervention, and the follow-up period. The KR-20 of 0.72 was reported for knowledge, Cronbach’s alpha of 0.75 and 0.71 were reported for perception of health belief model and breast cancer prevention. The content validity index was 0.83. Data were analyzed using two-way repeated measure ANOVA and independent t-test.

        The results revealed that immediately after intervention, the mean scores for the knowledge of breast cancer and knowledge of breast self-examination, perception of health belief model, and technical skills of BSE were significantly higher than before the intervention and those in the comparison group (p<.001), and this was sustainable at the follow-up period, but the mean score for breast cancer prevention did not differ, immediately after and at follow-up (p >.05).                        

        The findings suggested that the program could be further developed to enable student leaders for BSE and the students could apply this knowledge and skills to their female family members.

References

1. American Cancer Society. Breast cancer facts & figures 2017-2018. Atlanta: American Cancer Society; 2017 [cited 2017 Nov 1]. Available from: http://www.cancer.org/content/dam/cancer-org/research/cancer-facts-and-statistics/breast-cancer-facts-and-figures/breast-cancer-facts-and-figures-2017-2018.pdf

2. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2555. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ตะวันออก; 2557.

3. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2556. กรุงเทพฯ: บีทีเอส เพลส; 2558.

4. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: พรทรัพย์การพิมพ์; 2559.

5. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2558. กรุงเทพฯ: พรทรัพย์การพิมพ์; 2560.

6. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2559. กรุงเทพฯ: พรทรัพย์การพิมพ์; 2561.

7. สำนักพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. อัตราตายโรคมะเร็งเต้านม [อินเทอร์เน็ต]. 2557 [เข้าถึงเมื่อ 20 ธ.ค. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.hiso.or.th/hiso/visualize/Index.php

8. สถานวิทยามะเร็งศิริราช. Siriraj cancer registry 2013 [อินเทอร์เน็ต]. 2556 [เข้าถึงเมื่อ 17 พ.ย. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.si.mahidol.ac.th/th/department/cancer/itdesk/images/statitic/TR2013.pdf

9. ภรณี เหล่าอิทธิ, นภา ปริญญานิติกูล. มะเร็งเต้านม: ระบาดวิทยา การป้องกันและแนวทางการตรวจคัดกรอง. จุฬาลงกรณ์เวชสาร 2559;60(5):497-507.

10. สุวลักษณ์ วงศ์จรรโลงศิล. การพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็ง. กรุงเทพฯ: สินทวีกิจ พริ้นติ้ง; 2555.

11. American Cancer Society. Breast cancer. Lifestyle related for breast cancer [Internet]. 2017 [cited 2015 Nov 16]. Available from: https://www.cancer.org/cancer/breast-cancer/risk-and-prevention/lifestyle-related-breast-cancer-risk-factors.html

12. สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย. ปัจจัยกระตุ้นการเกิดมะเร็งเต้านมในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ [อินเทอร์เน็ต]. 2553 [เข้าถึงเมื่อ 17 พ.ย. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.thaibreast.org/articles/537075/.html

13. รังษีนพดล โถทอง, วิศิษฎ์ ฉวีพจน์กำจร, ปรารถนา สถิตวิภาวี, ศุภชัย ปิติกุลตัง. ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านมในหญิงไทยที่อายุน้อยกว่า 45 ปี. ใน: บทความฉบับเต็มการประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 34; 27 มี.ค. 2558; อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2558. หน้า 972-9.

14. วิศิษฎ์ ฉวีพจน์กำจร, ณัฐจาพร พิชัยณรงค์, รังสีนพดล โถทอง, ปรารถนา สถิตวิภาวี, ศุภชัย ปิติกุลตัง. ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมทางกายกับมะเร็งเต้านมในสตรีไทยอายุน้อยกว่า 45 ปี. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2560;36(3):383-91.

15. National Cancer Institute. Breast cancer prevention [Internet]. 2018. [cited 2018 Apr 17] Available from: https://www.cancer.gov/types/breast/patient/breast-prevention-pdq

16. วรางคณา จันทรสุข, ดุสิต สุจิรารัตน์, อรุณรักษ์ คูเปอร์ มีใย, อาคม ชัยวีระวัฒนะ. การศึกษาปัจจัยในการพยากรณ์และการรอดชีพของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ณ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ใน: รวมบทคัดย่อการประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 15; 28 มี.ค. 2557; วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2558. หน้า 1807-13.

17. วรรณภา ปาณาราช, กนกพร หมู่พยัคฆ์, ปนัดดา ปริยทฤฆ. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน ต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองในสตรีวัยรุ่น. วารสารพยาบาลศาสตร์ 2557;32(3):52-63.

18. จันทิรา ตุ้มภู่. ผลของการใช้กระบวนการกลุ่มร่วมกับแรงจูงใจในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของสตรีวัยรุ่น ในเขตเทศบาลตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี [อินเทอร์เน็ต]. 2554 [เข้าถึงเมื่อ 17 พ.ย. 2558]. เข้าถึงได้จาก: http://khoon.msu.ac.th/full164/juntira134636/titlepage.pdf

19. จันทร์จิรา สีสว่าง, ปาณิสรา ส่งวัฒนายุทธ. ประสิทธิผลของโปรแกรมการสนับสนุนและให้ความรู้ต่อความรู้ ทัศนคติและทักษะในการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรี. วารสารพยาบาลทหารบก 2556;14(1):17-24.

20. ณัฐณิชา แหวนวงศ์, สุรีพร ธนศิลป์, รุ้งระวี นาวีเจริญ. ผลของโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมป้องกันมะเร็งเต้านมในสตรีกลุ่มแม่บ้านทำความสะอาด. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์ 2558;35(1):21-36.

21. วิรงรอง จรัญรักษ์. การพัฒนาศักยภาพแกนนำในการตรวจเต้านมด้วยตนเองในสตรีวัยรุ่น [อินเทอร์เน็ต]. 2551 [เข้าถึงเมื่อ 17 พ.ย. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.thailis.or.th/tdc/

22. สุธารัตน์ ชำนาญช่าง, ปนัดดา ปริยทฤฆ, กนกพร หมู่พยัคฆ์. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีวัยแรงงาน. วารสารพยาบาลศาสตร์ 2557;32(3):42-51.

23. สุนีย์ ชมพูนิช, บัวทอง กรสุวรรณเลิศ. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรี อายุ 35-59 ปีในเขตตำบลนางแก้ว อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี [วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต]. นครปฐม: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม; 2550.

24. เพ็ญพิศ จีระภา. แรงจูงใจในการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีอำเภอเมืองจังหวัดชุมพร. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา 2554;6(2):104-12.

25. เอมอร ชินพัฒนะพงศา, กนกวรรณ สุวรรณปฏิกรณ์. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การรับรู้ความสามารถกับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาพยาบาล. วารสารพยาบาลสาธารณสุข 2557;(28)3:14-29.

26. Nahcivan NO, Secginli S. Health beliefs related to breast self-examination in a sample of Turkish women. Oncol Nurs Forum 2007;34(2):425-32.

27. Petro-Nustas W, Norton ME, Vilhauer RP, Connelly AD. Health beliefs associated with breast cancer screening among Arab women in the Northeastern United States. Int J Health Promot Educ 2012;50(6):273-77.

28. Abdel-Raoof Amasha H. Breast self-examination and risk factors of breast cancer: awareness of Jordanian nurse. Health Sci J 2013;7(3):303-14.

29. Yi M, Park EY. Effect of breast health education conducted by trained breast cancer survivors. J Adv Nurs 2012;68(5):1100-10.

30. Guclu S, Tabak RS. Impact of health education on improving women’s knowledge and awareness of breast cancer and breast self examination. J Breast Health 2013;9(1):18-22.

31. Park S, Song HY, Hur HK, Kim G. Effect of a cognition-oriented breast self-examination intervention for Korean women and their spouese. Public Health Nurs 2009;26(3):259-68.

32. สุชา จันทร์เอม. จิตวิทยาทั่วไป. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิช; 2540.

33. วิชัย เอกพลากร. รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557.นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข; 2559.

34. ประกายทิพย์ จันทร์ภิรมย์. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร [วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล; 2541.

35. ไฉไล เที่ยงกมล, ยิ่งลักษณ์ วุฒิกุล, อารญา โถวรุ่งเรือง. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรม การตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ. วารสารพยาบาลตำรวจ 2552;1(1):99-113.

36. Strecher VJ, Rosenstock IM. The health belief model. In: Glanz K, Lewis F, Rimer B. Health behavior and health education: theory, research, and practice. 2nd ed. San Francisco: Jossey-Bass; 1996.

37. Twisk JWR. Applied longitudinal data analysis for epidemiology: a practical guide. 2nd ed. Cambridge: Cambridge University Press; 2003.

38. พัชนภา ศรีเครือดำ, ปัญญรัตน์ ลาภวงศ์วัฒนา, ณัฐกมล ชาญสาธิตพร. ผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน จังหวัดสุรินทร์. วารสารพยาบาลสาธารณสุข 2556;27(3):71-82.

39. Bloom BS, Hastings JT, Madaus GF. Handbook on formative and summative evaluation of student learning. New York: McGraw-Hill; 1971.

40. Champion VL. Instrument refinement for breast cancer screening behaviors. Nurs Res 1993;42:138-43.

41. Champion VL, Skinner CS. The health belief model. In: Glanz K, Rimer BK, Viswanath K. Health behavior and health education: theory research, and practice. San Francisco: Jossey-Bass; 2008. p. 44-65.

42. ธรรมนิตย์ อังศุสิงห์, วัลลภ ไทยเหนือ, บรรณาธิการ. คู่มือสอนตรวจเต้านมด้วยตนเอง. กรุงเทพฯ: มูลนิธิถันยรักษ์ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี; 2547.

43. ปาริชาติ โรจน์พลากร-กู๊ช, ยุวดี ฦาชา. สถิติสำหรับงานวิจัยทางการพยาบาลและการใช้โปรแกรม SPSS for Window. กรุงเทพฯ: จุดทอง; 2549.

44. เรวดี เพชรศิราสัณห์, นัยนา หนูนิล. ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเองสำหรับสตรีวัยผู้ใหญ่. วารสารพยาบาลโรงพยาบาลรามาธิบดี 2553;16(1):54-69.

45. วาสนา เกตุมะ, ประนอม โฮทกานนท์, จันทกานต์ กาญจนเวทางค์, จิราวุธ พันธชาติ. ผลของโปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อความเชื่อและพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีวัยเจริญพันธุ์. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ 2552;3(2):132-43.

46. วนิดา ทองดีนอก. การประยุกต์รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์เพื่อส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของแกนนำสตรีและการสร้างเครือข่ายในกลุ่มสตรีอายุ 30 ปี ขึ้นไป ตำบลตลาดไทร อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2550.

47. แววตา สุริยันต์. ผลของการประยุกต์ใช้กระบวนการตลาดเชิงสังคมและแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในการส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ ตำบลบ้านดง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2551.

48. Yilmaz M, Sayin Y, Cengiz HO. The effects of training on knowledge and beliefs about breast cancer and early diagnosis methods among women. Eur J Breast Health 2017;13(4): 175–82.

49. Horton JA. Teaching breast health to adolescent females in high school: comparing interactive teaching with traditional didactic methods [Doctor of Philosophy]. Birmingham: Alabama University; 2011.

50. ประนอม ปิ่นทอง. การประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคในการคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก สตรีกลุ่มเสี่ยง อำเภอบางไพร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา [อินเทอร์เน็ต]. 2552 [เข้าถึงเมื่อ17 ธ.ค. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://khoon.msu.ac.th/full155/pranom133631/titlepage.pdf

51. ทรงคูณ ศรีดวงโชติ. ผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาหญิงระดับอุดมศึกษา [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต]. นครราชสีมา: มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา; 2552.

Downloads

Published

2018-12-31

Issue

Section

บทความวิจัย (Research Report)