ผลของโปรแกรมแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันมะเร็งเต้านมของนักเรียนหญิงมัธยมปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร
คำสำคัญ:
การป้องกันมะเร็งเต้านม, แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ, นักเรียนหญิงมัธยมปลายบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้เพื่อศึกษาโปรแกรมแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันมะเร็งเต้านมของนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง 61 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง (n=30) และกลุ่มเปรียบเทียบ (n=31) คัดเลือกโดยการสุ่มห้องเรียน กลุ่มทดลองได้รับกิจกรรม 4 ครั้ง ทุก 1 สัปดาห์ ประกอบด้วย บรรยายให้ความรู้ กิจกรรมกลุ่ม ดูวีดีทัศน์ ใช้ตัวแบบ และฝึกทักษะการตรวจเต้านม เก็บข้อมูลก่อน-หลัง และระยะติดตามผล โดยใช้แบบวัดความรู้ แบบวัดการรับรู้ ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และแบบวัดพฤติกรรมการป้องกันมะเร็งเต้านมที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.72, 0.75, และ 0.71 ตามลำดับ และเก็บข้อมูลทักษะโดยการ checklist จากแบบตรวจสอบทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเอง เครื่องมือมีค่าความตรงทั้งฉบับเท่ากับ 0.83 วิเคราะห์ด้วยสถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำและทดสอบค่าที
ผลการวิจัย ภายหลังการทดลองและระยะติดตามผล กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ การรับรู้ และทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเองสูงกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) แต่พฤติกรรมการป้องกันมะเร็งเต้านมใกล้เคียงกันระหว่างก่อน-หลังการทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ (p>.05)
ข้อเสนอแนะ สามารถนำโปรแกรมไปพัฒนาความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม การรับรู้ และทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเองให้กับวัยรุ่นเพื่อเป็นแกนนำในการตรวจเต้านม และนักเรียนหญิงสามารถนำความรู้ และทักษะดังกล่าวไปแนะนำให้กับคนในครอบครัวได้
เอกสารอ้างอิง
2. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2555. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ตะวันออก; 2557.
3. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2556. กรุงเทพฯ: บีทีเอส เพลส; 2558.
4. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: พรทรัพย์การพิมพ์; 2559.
5. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2558. กรุงเทพฯ: พรทรัพย์การพิมพ์; 2560.
6. กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2559. กรุงเทพฯ: พรทรัพย์การพิมพ์; 2561.
7. สำนักพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. อัตราตายโรคมะเร็งเต้านม [อินเทอร์เน็ต]. 2557 [เข้าถึงเมื่อ 20 ธ.ค. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.hiso.or.th/hiso/visualize/Index.php
8. สถานวิทยามะเร็งศิริราช. Siriraj cancer registry 2013 [อินเทอร์เน็ต]. 2556 [เข้าถึงเมื่อ 17 พ.ย. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.si.mahidol.ac.th/th/department/cancer/itdesk/images/statitic/TR2013.pdf
9. ภรณี เหล่าอิทธิ, นภา ปริญญานิติกูล. มะเร็งเต้านม: ระบาดวิทยา การป้องกันและแนวทางการตรวจคัดกรอง. จุฬาลงกรณ์เวชสาร 2559;60(5):497-507.
10. สุวลักษณ์ วงศ์จรรโลงศิล. การพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็ง. กรุงเทพฯ: สินทวีกิจ พริ้นติ้ง; 2555.
11. American Cancer Society. Breast cancer. Lifestyle related for breast cancer [Internet]. 2017 [cited 2015 Nov 16]. Available from: https://www.cancer.org/cancer/breast-cancer/risk-and-prevention/lifestyle-related-breast-cancer-risk-factors.html
12. สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย. ปัจจัยกระตุ้นการเกิดมะเร็งเต้านมในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ [อินเทอร์เน็ต]. 2553 [เข้าถึงเมื่อ 17 พ.ย. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.thaibreast.org/articles/537075/.html
13. รังษีนพดล โถทอง, วิศิษฎ์ ฉวีพจน์กำจร, ปรารถนา สถิตวิภาวี, ศุภชัย ปิติกุลตัง. ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านมในหญิงไทยที่อายุน้อยกว่า 45 ปี. ใน: บทความฉบับเต็มการประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 34; 27 มี.ค. 2558; อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2558. หน้า 972-9.
14. วิศิษฎ์ ฉวีพจน์กำจร, ณัฐจาพร พิชัยณรงค์, รังสีนพดล โถทอง, ปรารถนา สถิตวิภาวี, ศุภชัย ปิติกุลตัง. ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมทางกายกับมะเร็งเต้านมในสตรีไทยอายุน้อยกว่า 45 ปี. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2560;36(3):383-91.
15. National Cancer Institute. Breast cancer prevention [Internet]. 2018. [cited 2018 Apr 17] Available from: https://www.cancer.gov/types/breast/patient/breast-prevention-pdq
16. วรางคณา จันทรสุข, ดุสิต สุจิรารัตน์, อรุณรักษ์ คูเปอร์ มีใย, อาคม ชัยวีระวัฒนะ. การศึกษาปัจจัยในการพยากรณ์และการรอดชีพของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ณ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. ใน: รวมบทคัดย่อการประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 15; 28 มี.ค. 2557; วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2558. หน้า 1807-13.
17. วรรณภา ปาณาราช, กนกพร หมู่พยัคฆ์, ปนัดดา ปริยทฤฆ. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน ต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองในสตรีวัยรุ่น. วารสารพยาบาลศาสตร์ 2557;32(3):52-63.
18. จันทิรา ตุ้มภู่. ผลของการใช้กระบวนการกลุ่มร่วมกับแรงจูงใจในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของสตรีวัยรุ่น ในเขตเทศบาลตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี [อินเทอร์เน็ต]. 2554 [เข้าถึงเมื่อ 17 พ.ย. 2558]. เข้าถึงได้จาก: http://khoon.msu.ac.th/full164/juntira134636/titlepage.pdf
19. จันทร์จิรา สีสว่าง, ปาณิสรา ส่งวัฒนายุทธ. ประสิทธิผลของโปรแกรมการสนับสนุนและให้ความรู้ต่อความรู้ ทัศนคติและทักษะในการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรี. วารสารพยาบาลทหารบก 2556;14(1):17-24.
20. ณัฐณิชา แหวนวงศ์, สุรีพร ธนศิลป์, รุ้งระวี นาวีเจริญ. ผลของโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมป้องกันมะเร็งเต้านมในสตรีกลุ่มแม่บ้านทำความสะอาด. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์ 2558;35(1):21-36.
21. วิรงรอง จรัญรักษ์. การพัฒนาศักยภาพแกนนำในการตรวจเต้านมด้วยตนเองในสตรีวัยรุ่น [อินเทอร์เน็ต]. 2551 [เข้าถึงเมื่อ 17 พ.ย. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.thailis.or.th/tdc/
22. สุธารัตน์ ชำนาญช่าง, ปนัดดา ปริยทฤฆ, กนกพร หมู่พยัคฆ์. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีวัยแรงงาน. วารสารพยาบาลศาสตร์ 2557;32(3):42-51.
23. สุนีย์ ชมพูนิช, บัวทอง กรสุวรรณเลิศ. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรี อายุ 35-59 ปีในเขตตำบลนางแก้ว อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี [วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต]. นครปฐม: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม; 2550.
24. เพ็ญพิศ จีระภา. แรงจูงใจในการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีอำเภอเมืองจังหวัดชุมพร. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา 2554;6(2):104-12.
25. เอมอร ชินพัฒนะพงศา, กนกวรรณ สุวรรณปฏิกรณ์. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การรับรู้ความสามารถกับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาพยาบาล. วารสารพยาบาลสาธารณสุข 2557;(28)3:14-29.
26. Nahcivan NO, Secginli S. Health beliefs related to breast self-examination in a sample of Turkish women. Oncol Nurs Forum 2007;34(2):425-32.
27. Petro-Nustas W, Norton ME, Vilhauer RP, Connelly AD. Health beliefs associated with breast cancer screening among Arab women in the Northeastern United States. Int J Health Promot Educ 2012;50(6):273-77.
28. Abdel-Raoof Amasha H. Breast self-examination and risk factors of breast cancer: awareness of Jordanian nurse. Health Sci J 2013;7(3):303-14.
29. Yi M, Park EY. Effect of breast health education conducted by trained breast cancer survivors. J Adv Nurs 2012;68(5):1100-10.
30. Guclu S, Tabak RS. Impact of health education on improving women’s knowledge and awareness of breast cancer and breast self examination. J Breast Health 2013;9(1):18-22.
31. Park S, Song HY, Hur HK, Kim G. Effect of a cognition-oriented breast self-examination intervention for Korean women and their spouese. Public Health Nurs 2009;26(3):259-68.
32. สุชา จันทร์เอม. จิตวิทยาทั่วไป. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิช; 2540.
33. วิชัย เอกพลากร. รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557.นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข; 2559.
34. ประกายทิพย์ จันทร์ภิรมย์. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร [วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล; 2541.
35. ไฉไล เที่ยงกมล, ยิ่งลักษณ์ วุฒิกุล, อารญา โถวรุ่งเรือง. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรม การตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ. วารสารพยาบาลตำรวจ 2552;1(1):99-113.
36. Strecher VJ, Rosenstock IM. The health belief model. In: Glanz K, Lewis F, Rimer B. Health behavior and health education: theory, research, and practice. 2nd ed. San Francisco: Jossey-Bass; 1996.
37. Twisk JWR. Applied longitudinal data analysis for epidemiology: a practical guide. 2nd ed. Cambridge: Cambridge University Press; 2003.
38. พัชนภา ศรีเครือดำ, ปัญญรัตน์ ลาภวงศ์วัฒนา, ณัฐกมล ชาญสาธิตพร. ผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน จังหวัดสุรินทร์. วารสารพยาบาลสาธารณสุข 2556;27(3):71-82.
39. Bloom BS, Hastings JT, Madaus GF. Handbook on formative and summative evaluation of student learning. New York: McGraw-Hill; 1971.
40. Champion VL. Instrument refinement for breast cancer screening behaviors. Nurs Res 1993;42:138-43.
41. Champion VL, Skinner CS. The health belief model. In: Glanz K, Rimer BK, Viswanath K. Health behavior and health education: theory research, and practice. San Francisco: Jossey-Bass; 2008. p. 44-65.
42. ธรรมนิตย์ อังศุสิงห์, วัลลภ ไทยเหนือ, บรรณาธิการ. คู่มือสอนตรวจเต้านมด้วยตนเอง. กรุงเทพฯ: มูลนิธิถันยรักษ์ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี; 2547.
43. ปาริชาติ โรจน์พลากร-กู๊ช, ยุวดี ฦาชา. สถิติสำหรับงานวิจัยทางการพยาบาลและการใช้โปรแกรม SPSS for Window. กรุงเทพฯ: จุดทอง; 2549.
44. เรวดี เพชรศิราสัณห์, นัยนา หนูนิล. ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเองสำหรับสตรีวัยผู้ใหญ่. วารสารพยาบาลโรงพยาบาลรามาธิบดี 2553;16(1):54-69.
45. วาสนา เกตุมะ, ประนอม โฮทกานนท์, จันทกานต์ กาญจนเวทางค์, จิราวุธ พันธชาติ. ผลของโปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อความเชื่อและพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีวัยเจริญพันธุ์. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ 2552;3(2):132-43.
46. วนิดา ทองดีนอก. การประยุกต์รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์เพื่อส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของแกนนำสตรีและการสร้างเครือข่ายในกลุ่มสตรีอายุ 30 ปี ขึ้นไป ตำบลตลาดไทร อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2550.
47. แววตา สุริยันต์. ผลของการประยุกต์ใช้กระบวนการตลาดเชิงสังคมและแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในการส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ ตำบลบ้านดง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2551.
48. Yilmaz M, Sayin Y, Cengiz HO. The effects of training on knowledge and beliefs about breast cancer and early diagnosis methods among women. Eur J Breast Health 2017;13(4): 175–82.
49. Horton JA. Teaching breast health to adolescent females in high school: comparing interactive teaching with traditional didactic methods [Doctor of Philosophy]. Birmingham: Alabama University; 2011.
50. ประนอม ปิ่นทอง. การประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคในการคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก สตรีกลุ่มเสี่ยง อำเภอบางไพร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา [อินเทอร์เน็ต]. 2552 [เข้าถึงเมื่อ17 ธ.ค. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://khoon.msu.ac.th/full155/pranom133631/titlepage.pdf
51. ทรงคูณ ศรีดวงโชติ. ผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาหญิงระดับอุดมศึกษา [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต]. นครราชสีมา: มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา; 2552.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
เนื้อหาบทความหรือข้อคิดเห็นต่างๆ ในวารสารพยาบาลสภากาชาดไทยนี้ เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนบทความ ไม่ใช่ความเห็นของกองบรรณาธิการ หรือสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย