Outcomes of Glycemic Control in Patients with Type 2 Diabetes Receiving New Services from Diabetes Clinic, Sai Ngam Hospital during COVID-19 Pandemic
Keywords:
COVID 19, Type 2 Diabetes, Plasma glucoseAbstract
According to the Ministry of Public Health’s policy to reduce the spread of Corona Virus 2019 (COVID-19) and to ensure patients’ safety from overcrowded clients and long wait time at the out-patient department, new service measures were introduced in Sai Ngam hospital. The purpose of this descriptive research study was to evaluate the hospital’s new measure by comparing patients’ glycemic control data between before and after implementing the new measures to reduce the risks from COVID-19 at the diabetes out-patient clinic. The retrospective data including parameters of glycemic control (fasting blood sugar-FBS and Hemoglobin A1C-HbA1c) and personal data (age, gender, marital status and educational level) from 320 randomly selected diabetes patients were drawn from the hospital’s database between October 1, 2019 and December 30, 2020. The data were analyzed using descriptive statistics with frequencies, percentages, means and standard deviations (SD) and inferential statistics using dependent sample t-tests, chi-square tests and McNemar tests with p-value at 0.05. The results showed that most of the samples were females (67.8%) with an average age of 54.74 ± 10.75 years old. Average FBS from before and after the new service measures significantly increased from 149.55 ± 45.41 mg/dL to 156.69 ± 46.27 mg/dL (p = 0.007). Average HbA1c also significantly increased from 67 ± 2.3% to 7.94 ± 2.17% after the use of new service measures (p = 0.039). I can be concluded that, the glycemic control among patients in the study group got worse after using the new services during COVID-19 pandemic, particularly among the elderly 61-70 years old. The results from this study stressed the needs for service guideline for diabetes patients that factored in personal information and self-care behaviors.
References
Hfocus.orgเจาะลึกระบบสุขภาพ. สถานการณ์โรคเบาหวานปี พ.ศ. 2560 [อินเทอร์เน็ต]. 2561. เข้าถึงได้จาก: https://www.hfocus.org/content/2019/11/18054
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. จำนวนและอัตราป่วยโรค NCDs 2559-2561 [อินเตอร์เน็ต]. 2561. เข้าถึงได้จาก: http://www.thaincd.com/2016/mission/documents.php?tid=32&gid=1-020
American Diabetes Association. American Diabetes Association Standards of Medical Care in Diabetes 2019. Diabetes Care [Internet]. 2019;42(Supplement 1):103–124. Available from: https://www.dmthai.org/index.php/knowledge/healthcare-providers/cpg
Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ. สมาคมโรคเบาหวานอบรม “ทางเลือกใหม่รักษาเบาหวานชนิด 2” เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง [อินเตอร์เน็ต]. 2561. เข้าถึงได้จาก: https://www.hfocus.org/print/18016
ปฐมพร ศิรประภาศิริ. แนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาลเพื่อลดการแพร่กระจาย COVID-19 [อินเตอร์เน็ต]. ไม่ปรากฎสำนักพิมพ์; 2563. หน้า16–17. เข้าถึงได้จาก: http://covid19.dms.go.th/Content/Select_Landding_page?contentId=23moph.go.th/
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2560 [อินเตอร์เน็ต]. พิมพ์ครั้งที่ 3. ปทุมธานี: บริษัท ร่มเย็น มีเดีย จำกัด; หน้า 35-6. สืบค้นจาก: https://www.dmthai.org/
กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือแนวทางการดำเนินงาน NCD Clinic Plus ปี2563. สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2563. หน้า 43.
กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุข เพื่อการจัดการภาวะระบาดของโรคโควิด-19 ในข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1). 2563;68.
ภาคี ทรัพย์พิพัฒน์. ผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยเบาหวานในรูปแบบเครือข่ายบริการปฐมภูมิอำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์. สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ขอนแก่น. 2554;18(1):7–16.
อารีย์ นิสภนันต์. การศึกษาเปรียบเทียบผลการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ระหว่างคลินิกโรคเรื้อรังโรงพยาบาลสตึกและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์. 2561;33(2):179–92.
กรรณิการ์ เชิงยุทธ, นงนุช โอบะ, ธนกร ลักษณ์สมยา. ผลลัพธ์ของการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชิดที่2 ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ. 2554;6(2):110–21.
กองยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. รายงานผลการประเมินยุทธศาสตร์ความเป็นเลิศ 4 ด้านของกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2561. 2561.
พนม สุขจันทร์, ยุพเยาว์ เอื้ออารยาภรณ์. ความครอบคลุมและคุณภาพการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ในแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสงขลา จังหวัดสงขลา. วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์. 2556;5(3):25–36.
สุชานัน แก้วสุข. สัดส่วนและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2ในคลินิกหมอครอบครัวนครนนท์1. PCFM. 2020;3(3):59–72.
อรุณรัตน์ สู่หนองบัว, ไดอาน่า ศรีพรกิจขจร. ผลการพัฒนาเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยเบาหวานรพ.สต.อ.เมืองชัยภูมิ. ชัยภูมิเวชสาร. 2559;37(2):59–69.
ปิยะวดี ทองโปร่ง. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองของชุมชนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอุบลราชธานี. Ratchathani Innov Heal Sci. 2560;2(4):9–22.
UNFPA Thailand. บทสรุปผู้บริหารผลกระทบโควิด-19ต่อผู้สูงอายุ. UNFPA [อินเอร์เน็ต]. 2020;(ตุลาคม). สืบค้นจาก: https://thailand.unfpa.org/th/covid-op
นิติกุล บุญแก้ว. ความสัมพันธ์ระหว่างความตึงเครียดทางอารมณ์ ความแตกฉานด้านสุขภาพกับพฤติกรรมควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข. 2557;119–31.
ฤทธิรงค์ บูรพันธ์, นิรมล เมืองโสม. ปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี. วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 2556;6(3):102–9.
Downloads
Published
How to Cite
Issue
Section
License
Copyright (c) 2021 REGIONAL HEALTH PROMOTION CENTER 9 JOURNAL

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ประกฎในวารสารศูนย์อนามัยที่ 9 เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน บรรณาธิการ คณะผู้จัดทำ และศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา (เจ้าของ) ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง
ผลการพิจารณาของกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิถือเป็นที่สิ้นสุด คณะบรรณาธิการวารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขข้อความให้ถูกต้องตามหลักภาษาและมีความเหมาะสม
กองบรรณาธิการวารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์มิให้นำเนื้อหาใด ๆ ของบทความ หรือข้อคิดเห็นใด ๆ ของผลการประเมินบทความในวารสารฯ ไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารศูนย์อนามัยที่ 9