ประสิทธิผลโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุ โรคความดันโลหิตสูง จังหวัดมหาสารคาม

ผู้แต่ง

  • ประทีป กาลเขว้า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • โสรยา เฉลยจิต อาจารย์ วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • วรกมล หวังแลกลาง นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองกาฬสินธุ์
  • เบญญาภา กาลเขว้า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก

คำสำคัญ:

โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม, พฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อน, ผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้ต่อภาวะแทรกซ้อน พฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อน และระดับความดันโลหิต ของผู้สูงอายุโรคดันโลหิตสูงระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมในระยะก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม โดยประยุกต์ใช้แนวคิดความเชื่อด้านสุขภาพของเบคเกอร์ และการสร้างเสริมสุขภาพจิตตามแนวคิดของฮิลล์และสมิธ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 22 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 11 คน กลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุที่มีโรคความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับ การรักษาแบบปกติ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับการรับรู้ต่อภาวะแทรกซ้อน และพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนโรคความดันโลหิต ตรวจสอบความเที่ยงโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัค เท่ากับ 0.77 และ 0.76 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติ Paired t-test และ สถิติ Independent samples t-test

ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีการรับรู้ต่อภาวะแทรกซ้อน และพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ความแตกต่างค่าเฉลี่ย = 9.36, ช่วงเชื่อมั่น 95%: 5.88 ถึง 12.84, p <0.001 และ ความแตกต่างค่าเฉลี่ย = 10.27, ช่วงเชื่อมั่น 95%: 6.39 ถึง 14.16, p <0.001 ตามลำดับ) และมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ความแตกต่างค่าเฉลี่ย = 7.36, ช่วงเชื่อมั่น 95%: 5.23 ถึง 9.50, p <0.001 และ ความแตกต่างค่าเฉลี่ย = 13.46, ช่วงเชื่อมั่น 95%: 10.14 ถึง 16.77, p <0.001 ตามลำดับ) หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลอง มีระดับความดันโลหิตซิสโตลิกต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม และต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่าเฉลี่ย = 4.46, ช่วงเชื่อมั่น 95%: -5.12 ถึง 14.43, p = 0.172 และ ค่าเฉลี่ย = 0.91, ช่วงเชื่อมั่น 95%: -8.71 ถึง 10.53, p = 0.422 ตามลำดับ) นอกจากนั้น กลุ่มทดลองมีระดับความดันโลหิต ไดแอสโตลิกต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่าเฉลี่ย = 9.36, ช่วงเชื่อมั่น 95%: -2.92 ถึง 3.47, p = 0.427 และ ค่าเฉลี่ย = 4.27, ช่วงเชื่อมั่น 95%: -1.78 ถึง 10.33, p = 0.079 ตามลำดับ)

สรุป ผู้สูงอายุในกลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้และพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่ค่าความดันโลหิตแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญ จึงควรมีการติดตามผลการใช้โปรแกรมฯ ในระยะยาวและใช้กลยุทธ์อื่นเพิ่มเติมเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้ดีขึ้น

เอกสารอ้างอิง

มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2561. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดลมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2561.

วิชัย เอกพลากร. การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2557.

WHO. A global brief on Hypertension [Internet]. 2013 [cited 2020 Aug 10]. Available from: https://ish-world.com/downloads/pdf/global_brief_hypertension.pdf

กิตติมา แตงสาขา, วันทนา มณีศรีวงศ์กูล, พรรณวดี พุธวัฒนะ. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีภาวะแทรกซ้อนทางไต. รามาธิบดีพยาบาลสาร. 2562; 25(1): 87-101.

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รู้เท่าทันความดันโลหิตสูง [อินเทอร์เน็ต]. 2563 [เข้าถึงเมื่อ 10 สิงหาคม 2563] เข้าถึงได้จาก: http://healthydee.moph.go.th/view_article.php?id=736

สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. จำนวนและอัตราผู้ป่วยในปี 2559-2560 (ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หลอดเลือดหัวใจ, หลอดเลือดสมอง, COPD) [อินเทอร์เน็ต]. 2562 [เข้าถึงเมื่อ 15 สิงหาคม 2563]. เข้าถึงได้จาก: http://www.thaincd.com/2016/mission/documents.php?tid=32&gid=1-020

สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย. แนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูง ในเวชปฏิบัติทั่วไป [อินเทอร์เน็ต]. 2562 [เข้าถึงเมื่อ 15 สิงหาคม 2563], เข้าถึงได้จาก:http://www.thaiheart.org/images/column_1563846428/Thai%20HT%20Guideline%202019.pdf

อภิชัย คุณีพงษ. ประสิทธิผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อน ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จังหวัดปทุมธานี. วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. 2560; 12(3): 55-65.

สุภาวดี พรมแจ่ม, จิราพร เกศพิชญวัฒนา. ผลของโปรแกรมความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุที่มีโรคความดันโลหิตสูง. วารสารแพทย์นาวี. 2561; 45(3): 561-77.

Hill L, Smith N. Self-Care Nursing: Promotion of Health. New Jersey: Prentice Hall, 1990.

จำลองลักษณ์ ซาสังข์. ผลของโปรแกรมการปรับพฤติกรรมต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ด้านสุขภาพจิตของผู้ติดสุรา. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต]. ปทุมธานี: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2561.

ชุติมา สร้อยนาค, จริยาวัตร คมพยัคฆ์, พรศิริ พันธสี. การศึกษาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของมุสลิมวัยทำงาน. วารสารพยาบาลทหารบก. 2561; 19(ฉบับพิเศษ): 267-77.

ชวนพิศ เจริญพงศ์, อลิสา นิติธรรม, สุพัฒน์ ธีรเวชเจริญชัย, สายสมร เฉลยกิตติ. พัฒนาโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง. วารสารพยาบาลทหารบก. 2562; 20(1): 157-64.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-06-29

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย (Research article)