บทบาทของผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้สั้น : กรณีศึกษา

ผู้แต่ง

  • ธีราพร ชมภูแสง หน่วยโภชนบำบัดทางการพยาบาล โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร

DOI:

https://doi.org/10.60099/jtnmc.v40i01.269114

คำสำคัญ:

ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม , ภาวะลำไส้สั้น , ผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูง , การให้อาหารทางหลอดเลือดดำ

บทคัดย่อ

ภาวะลำไส้สั้นเป็นภาวะที่ผู้ป่วยสูญเสียความยาวหรือการทำงานของลำไส้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดการดูดซึมที่ผิดปกติ โดยลำไส้มีความยาวน้อยกว่า 180–200 เซนติเมตรในผู้ใหญ่ ภาวะนี้มักเกิดจากการผ่าตัดลำไส้หรือภาวะลำไส้เน่า การให้อาหารทางหลอดเลือดดำผ่านสายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง เป็นวิธีการรักษามาตรฐานในการจัดการภาวะลำไส้สั้นทุกระยะ อย่างไรก็ตามการรักษาในโรงพยาบาล เป็นเวลานานเพื่อรับสารอาหารทางหลอดเลือดดำเป็นความท้าทายเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องจำนวนเตียงในโรงพยาบาล จึงเกิดการพัฒนาระบบการให้อาหารทางหลอดเลือดดำที่บ้าน 

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอบทบาทของผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงในการจัดการดูแล ทางโภชนาการของผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้สั้น โดยเฉพาะผู้ที่รู้สึกหมดหนทางในการรักษา โดยใช้ทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเองของโอเร็ม เพื่อช่วยแนะนำและสร้างแรงจูงใจในการดูแลตนเองให้ผู้ป่วย สามารถจัดการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำด้วยตนเองที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 

กรณีศึกษาเป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 39 ปี ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะลำไส้สั้นหลังเกิดภาวะแทรกซ้อน รุนแรงจากการฉีกขาดที่บริเวณหลอดเลือดแดงใหญ่และการขาดเลือดที่ลำไส้ ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดลำไส้เล็กส่วนปลายออก แล้วนำลำไส้เล็กส่วนกลางต่อเข้ากับลำไส้ใหญ่ ลำไส้ที่เหลือมีความยาวเพียง 100 เซนติเมตร และยังมีลำไส้ขาดเลือดที่แพทย์พิจารณาไม่ตัดออกเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายถึงชีวิต ทำให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาการถ่ายเหลวและลำไส้ดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายไม่เพียงพอ รับประทานอาหารทางปากได้น้อย จำเป็นต้องได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดดำระยะยาวที่บ้าน จากการประเมินผู้ป่วยพบว่า 1) มีความรู้สึกหมดหนทางช่วยเหลือพร่องการดูแลตนเอง มีภาวะซึมเศร้าและขาดแรงจูงใจในการดูแลตนเอง 2) มีภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ เนื่องจากถ่ายเหลวจากลำไส้ดูดซึมไม่มีประสิทธิภาพ 3) มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารและวิตามิน ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และ 4) มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับอาหารทางหลอดเลือดดำส่วนกลางที่บ้าน 

ผู้เขียนเป็นผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงที่ได้ประยุกต์ทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเองของโอเร็ม เป็นกรอบแนวคิดในการดูแล เพื่อฟื้นฟูแรงจูงใจของผู้ป่วย ในระยะแรกผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูง ได้ตรวจเยี่ยมผู้ป่วยทุกวัน ให้การดูแลสภาพอารมณ์และการดูแลทุกด้าน โดยให้การพยาบาลระบบทดแทน ทั้งหมด หลังจาก 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยเริ่มพูดคุยมากขึ้น มีความหวัง และสนใจดูแลตนเองมากขึ้น จึงให้การดูแลระบบทดแทนบางส่วน ให้การสนับสนุนทั้งด้านอารมณ์ ให้ความรู้และแรงจูงใจเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแล จัดการตนเองได้ ผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงได้พัฒนาแผนการดูแลผู้ป่วยที่มุ่งเน้นการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำที่บ้านเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยและลดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วย โดยกิจกรรมการพยาบาลมุ่งเน้นที่ความสามารถของผู้ป่วยในการจัดการตนเองโดยได้รับความช่วยเหลือบางส่วนซึ่งปรับเปลี่ยนจากระบบการพยาบาลที่ทดแทนทั้งหมดเป็นระบบการพยาบาลที่ทดแทนบางส่วน ผ่านการสนับสนุนและการให้ความรู้ รวมถึงการสอนผู้ป่วยและญาติผู้ดูแลเกี่ยวกับเทคนิคปลอดเชื้อ การดูแลสายสวน การเตรียมสารอาหารทางหลอดเลือดดำ และการจัดการด้านโภชนาการ 

ผลลัพธ์การดูแล แบ่งเป็น ผลลัพธ์ด้านผู้ป่วย ด้านทีมดูแลสุขภาพและด้านคุณภาพการดูแล ผลลัพธ์ด้านผู้ป่วยพบว่า ผู้ป่วยฟื้นฟูความสามารถในการดูแลตนเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถกลับไปทำงาน และทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ อีกทั้งสามารถจัดการการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ ที่บ้านได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน หลังได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดดำที่บ้านเป็นเวลา 6 เดือน ผู้ป่วยสามารถปิดทวารเทียมทางหน้าท้องและเริ่มรับประทานอาหารทางปากได้ตามปกติ หลังจาก 1 ปี ผู้ป่วย สามารถหยุดการได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดดำ หยุดยารักษาโรคซึมเศร้าได้ และไม่มีการกลับเป็นซ้ำ ในระยะ 1 ปีที่ติดตามอาการผู้ป่วย ส่วนผลลัพธ์ด้านทีมดูแลสุขภาพ ผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงสามารถใช้สมรรถนะ ทั้งการดูแลผู้ป่วยโดยตรง การประสานงานกับทีมสหสาขาวิชาชีพ การนำหลักฐานเชิงประจักษ์ มาใช้ในการดูแลผู้ป่วย การเป็นที่ปรึกษาให้กับพยาบาลประจำหอผู้ป่วย ให้คำแนะนำและให้ความรู้กับผู้ป่วยและญาติ และการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง กรณีศึกษานี้เน้นให้เห็นบทบาทสำคัญของผู้ปฏิบัติ การพยาบาลขั้นสูงในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้สั้น การส่งเสริมการดูแลแบบองค์รวมช่วยลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วย สำหรับผลลัพธ์ด้านคุณภาพ การดูแล โรงพยาบาลยังไม่มีระบบการให้โภชนาการทางหลอดเลือดดำที่บ้านในขณะนั้น ดังนั้นผู้เขียน จึงได้พัฒนาแนวทางการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำส่วนกลางที่บ้าน โดยผู้ป่วยเป็นกรณีศึกษาของโรงพยาบาล ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาระบบที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้สั้น หรือกลุ่มผู้ป่วยอื่น ที่ต้องการโภชนาการทางหลอดเลือดดำส่วนกลางที่บ้าน 

โดยสรุป บทบาทของผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงมีความสำคัญในการจัดการดูแลผู้ป่วยภาวะ ลำไส้สั้นที่มีความซับซ้อน โดยการประยุกต์ทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเองของโอเร็ม ผู้ปฏิบัติ การพยาบาลขั้นสูงสามารถให้การดูแลที่มุ่งเน้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ส่งเสริมการดูแลตนเองอย่างเป็นองค์รวม และเพิ่มคุณภาพชีวิตตลอดจนผลลัพธ์ของผู้ป่วย บทความนี้นำเสนอกรณีศึกษาที่นำไปสู่การพัฒนาแนวทางการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำที่บ้านให้เกิดผลในทางปฏิบัติและนำไปใช้ได้จริงในระบบสุขภาพ ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้และประโยชน์ที่เกิดขึ้น

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

Pironi L, Arends J, Baxter J, Bozzetti F, Peláez RB, Cuerda C, et al. ESPEN endorsed recommendations. Definition and classification of intestinal failure in adults. Clin Nutr. 2015;34(2):171-80. https://doi.org/10.1016/j.clnu.2014.08.017 PMID: 25311444

Pironi L, Konrad D, Brandt C, Joly F, Wanten G, Agostini F, et al. Clinical classification of adult patients with chronic intestinal failure due to benign disease: an international multicenter cross-sectional survey. Clin Nutr. 2018;37(2):728-38. https://doi.org/10.1016/j.clnu.2014.08.017 PMID: 28483328

Dibb M, Soop M, Teubner A, Shaffer J, Abraham A, Carlson G, et al. Survival and nutritional dependence on home parenteral nutrition: three decades of experience from a single referral centre. Clin Nutr. 2017;36(2):570-6. https://doi.org/10.1016/j.clnu.2016.01.028 PMID: 26972088

Arhip L, Serrano-Moreno C, Romero I, Camblor M, Cuerda C. The economic costs of home parenteral nutrition: systematic review of partial and full economic evaluations. Clin Nutr. 2021;40(2):339-49. https://doi.org/10.1016/j.clnu.2020.06.010 PMID: 32631611

Yip JYC. Theory-based advanced nursing practice: A practice update on the application of Orem’s Self-Care Deficit Nursing Theory. SAGE Open Nurs. 2021;7:23779608211011993. https://doi.org/10.1177/23779608211011993 PMID: 3395 9682

Nasiri M, Jafari Z, Rakhshan M, Yarahmadi F, Zonoori S, Akbari F, et al. Application of Orem’s theory-based caring programs among chronically ill adults: a systematic review and dose-response meta-analysis. Int Nurs Rev. 2023;70(1):59-77. https://doi.org/10.1111/inr.12808 PMID: 36418147

Tanaka M. Orem’s nursing self-care deficit theory: A theoretical analysis focusing on its philosophical and sociological foundation. Nurs Forum. 2022; 57(3): 480-5. https://doi.org/10.1111/nuf.12696 PMID: 35037258

Pironi L. Definition, classification, and causes of short bowel syndrome. Nutr Clin Pract. 2023; 38 Suppl 1: S9-S16. https://doi.org/10.1002/ncp.10955 PMID: 37115031

Tappenden KA. Pathophysiology of short bowel syndrome: considerations of resected and residual anatomy. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2014; 38(1 Suppl): 14S-22S. https://doi.org/10.1177/0148607113520005 PMID: 24500909

Bering J, DiBaise JK. Short bowel syndrome: complications and management. Nutr Clin Pract. 2023; 38 Suppl 1:S46-s58. https://doi.org/10.1002/ncp.10978 PMID: 37115034

Carroll RE, Benedetti E, Schowalter JP, Buchman AL. Management and complications of short bowel syndrome: an updated review. Curr Gastroenterol Rep. 2016;18(7):40. https://doi.org/10.1007/s11894-016-0511-3 PMID: 27324885

Liu C, Bhat S, Sharma P, Yuan L, O’Grady G, Bissett I. Risk factors for readmission with dehydration after ileostomy formation: a systematic review and meta-analysis. Colorectal Dis. 2021; 23(5):1071-82. https://doi.org/10.1111/codi.15566 PMID: 335 39646.

Roberts K, Shah ND, Parrish CR, Wall E. Navigating nutrition and hydration care in the adult patient with short bowel syndrome. Nutr Clin Pract. 2023;38 Suppl 1:S59-S75. https://doi.org/10.1002/ncp.10951 PMID: 37115029

Adler M, Millar EC, Deans KA, Torreggiani M, Moroni F. Dietary Management of chronic kidney disease and secondary hyperoxaluria in patients with short bowel syndrome and type3 intestinal failure. Nutrients. 2022;14(8):1646. https://doi.org/10.3390/nu14081646 PMID: 35458207

Hanucharurnkul S, Panpakdee O. Advanced practice nursing: Integrated practice. Bangkok: Joodthong; 2010. (in Thai)

Yessick LR, Salomons TV. The chronic disease helplessness survey: developing and validating a better measure of helplessness for chronic conditions. Pain Rep. 2022; 7(2):e991. https://doi.org/10.1097/PR9.0000000000000991 PMID: 35311028

Sathienluckana T. Pharmacotherapy of depression in patients with chronic medical illness. Isan Journal of Pharmaceutical Sciences. 2017;13(3):1-13. https://doi.org/10.14456/ijps.2017.15 (in Thai)

Binder HJ. Development and pathophysiology of oral rehydration therapy for the treatment for diarrhea. Dig Dis Sci. 2020; 65(2):349-54. https://doi.org/10.1007/s10620-019-05881-3 PMID: 31659613

van Zanten ARH, De Waele E, Wischmeyer PE. Nutrition therapy and critical illness: practical guidance for the ICU, post-ICU, and long-term convalescence phases. Crit Care. 2019; 23(1):368. https://doi.org/10.1186/s13054-019-2657-5 PMID: 31752979

Massironi S, Cavalcoli F, Rausa E, Invernizzi P, Braga M, Vecchi M. Understanding short bowel syndrome: current status and future perspectives. Dig Liver Dis. 2020; 52(3):253-61. https://doi.org/10.1016/j.dld.2019.11.013 PMID: 31892505

Dashti HS, Mogensen KM. Recommending small, frequent meals in the clinical care of adults: a review of the evidence and important considerations. Nutr Clin Pract. 2017; 32(3):365-77. https://doi.org/10.1177/0884533616662995 PMID: 27589258

Bellicha A, van Baak MA, Battista F, Beaulieu K, Blundell JE, Busetto L, et al. Effect of exercise training on weight loss, body composition changes, and weight maintenance in adults with overweight or obesity: an overview of 12 systematic reviews and 149 studies. Obes Rev. 2021; 22 Suppl 4(Suppl 4): e13256. https://doi.org/10.1111/obr.13256 PMID: 33955140

Pichitchaipitak O. Clinical nursing practice guideline for home parenteral nutrition via central venous catheter. Bangkok: Beyond Enterprise; 2015. (in Thai)

Selby LM, Rupp ME, Cawcutt KA. Prevention of central-line associated bloodstream infections: 2021 update. Infect Dis Clin North Am. 2021; 35(4):841-56. https://doi.org/10.1016/j.idc.2021.07.004 PMID: 34752222

Pironi L, Boeykens K, Bozzetti F, Joly F, Klek S, Lal S, et al. ESPEN guideline on home parenteral nutrition. Clin Nutr. 2020;39(6):1645-66. https://doi.org/10.1016/j.clnu.2020.03.005 PMID: 32359933

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-02-02

รูปแบบการอ้างอิง

1.
ชมภูแสง ธ. บทบาทของผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้สั้น : กรณีศึกษา. J Thai Nurse Midwife Counc [อินเทอร์เน็ต]. 2 กุมภาพันธ์ 2025 [อ้างถึง 30 ธันวาคม 2025];40(01):1-17. available at: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/269114

ฉบับ

ประเภทบทความ

Academic Article