ผลของโปรแกรมการจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวต่อความเสี่ยงการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเภทชาย

ผู้แต่ง

  • ศิริญพร บุสหงษ์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • เกษราภรณ์ เคนบุปผา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • โปรยทิพย์ สันตะพันธุ์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ คณะพยาบาศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • ปาลิดา พละศักดิ์ โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

DOI:

https://doi.org/10.60099/jtnmc.v40i02.271700

คำสำคัญ:

ผู้ป่วยจิตเภทชาย , พฤติกรรมก้าวร้าว , การจัดการ , ความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง , การควบคุมตนเอง

บทคัดย่อ

บทนำ โรคจิตเภทเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรม ที่ผิดปกติในด้านการควบคุมอารมณ์ ความคิด การรับรู้ และพฤติกรรมทั่วไป ผู้ป่วยจิตเภทมีการใช้ความรุนแรงสูง เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป โดยเฉพาะในผู้ป่วยจิตเภทชาย มีอุบัติการณ์ การเกิดพฤติกรรมรุนแรงมากกว่าเพศหญิง พฤติกรรมก้าวร้าวในผู้ป่วยจิตเภทส่งผลกระทบต่อตัวผู้ป่วยเอง สัมพันธภาพในครอบครัว และก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อบุคคลอื่นในสังคม รวมทั้งเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อตัวผู้ป่วย บุคคลรอบข้าง เกิดความเสียหายทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรุนแรงจึงถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางจิตเวชที่ต้องให้การดูแลอย่างทันท่วงที 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวต่อความเสี่ยงการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเวชชาย โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะดังนี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเภทชายภายในกลุ่มทดลองในระยะก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และระยะติดตามผล 2 สัปดาห์ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเภทชาย ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในระยะก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และระยะติดตามผล 2 สัปดาห์

การออกแบบการวิจัย การวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดซ้ำ โดยประยุกต์ทฤษฎีการควบคุมพฤติกรรม โดยเจตนาของ Ajzen ที่อธิบายว่า พฤติกรรมของบุคคลเกิดจากเจตนาและเหตุผลของตัวบุคคล โดยบุคคลมีความสามารถที่จะควบคุมพฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากบุคคลมีความมุ่งมั่นในการควบคุมพฤติกรรมเหล่านั้น ก็จะสามารถเกิดพฤติกรรมที่มุ่งหวังได้อย่างคงทนและถาวร ซึ่งเกิดจากองค์ประกอบ ความเชื่อ 3 ประการได้แก่ 1) ความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรม 2) ความเชื่อเกี่ยวกับกลุ่มอ้างอิง และ 3) ความเชื่อเกี่ยวกับความสามารถในการควบคุม ร่วมกับแนวคิดการควบคุมตนเองของ Rosenbaum ที่กล่าวว่า บุคคลมีความสามารถที่จะละเว้นการกระทำบางชนิด ซึ่งเกิดจากการควบคุมพฤติกรรมด้วยเหตุผลและความอดทน เพื่อให้เกิดผลที่ต้องการ รวมทั้งบุคคลยังมีความสามารถในการจัดการกับภาวะตึงเครียดทางอารมณ์ และสามารถยับยั้งอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ ผู้วิจัยได้นำแนวคิดดังกล่าวมาออกแบบกิจกรรมบำบัดในโปรแกรม การจัดการพฤติกรรมก้าวร้าว เพื่อปรับความเชื่อ ทัศนคติและมุมมองต่อพฤติกรรมก้าวร้าวให้มีความเหมาะสม และสังคมยอมรับได้ ประกอบด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่ 1) การสร้างสัมพันธภาพที่ดี 2) การเสริมสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเจ็บป่วยและพฤติกรรมก้าวร้าว 3) การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย 4) การพัฒนาทัศนคติและความเชื่อเชิงพฤติกรรม 5) การเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการควบคุมตนเอง และ 6) การวางแผนป้องกันการกลับเป็นซ้ำ 

วิธีการดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยจิตเภทชาย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่ง ในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 60 คน เลือกแบบเจาะจง ตามเกณฑ์การคัดเข้า ดังนี้ 1) อายุ 20-59 ปี 2) ได้รับการวินิจฉัยโรคจิตเภท (F20.0 - F20.9) ตามเกณฑ์การวินิจฉัยของ ICD-10 3) มีคะแนนความเสี่ยงต่อ การก่อความรุนแรง Prasri Violence Severity Scale (PVSS) ที่ได้รับการประเมินก่อนการทดลองอยู่ในระดับสูง ช่วง 14 - 32 คะแนน 4) มีอาการทางจิตสงบ 5) สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดี 6) ไม่เคยได้รับโปรแกรมการบำบัด พฤติกรรมก้าวร้าวมาก่อน และ 7) สมัครใจเข้าร่วมโปรแกรม จัดกลุ่มตัวอย่างในหอผู้ป่วยจิตเวชชายแห่งที่ 1 เข้ากลุ่มทดลองและหอผู้ป่วยจิตเวชชายแห่งที่ 2 เข้ากลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบประเมินระดับความรุนแรงของความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง ในผู้ป่วยจิตเวชไทย (PVSS) จำนวน 9 ข้อ มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ .89 3) โปรแกรมการจัดการ พฤติกรรมก้าวร้าว 6 กิจกรรม ได้แก่ 1) การสร้างสัมพันธภาพที่ดี 2) การเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเจ็บป่วย และพฤติกรรมก้าวร้าว 3) การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย 4) การพัฒนาทัศนคติและความเชื่อเชิงพฤติกรรม 5) การเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการควบคุมตนเอง และ 6) การวางแผนป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ตรวจสอบ ความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ .86 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2567 เนื่องจากข้อจำกัดด้านระยะเวลาการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ของกลุ่มทดลองไม่พร้อมกัน และอัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโดยเฉลี่ย 6-8 สัปดาห์ เพื่อป้องกัน กลุ่มทดลองจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลก่อนสิ้นสุดการดำเนินกิจกรรมตามโปรแกรม ทีมวิจัยจึงแบ่งเก็บข้อมูล ในกลุ่มทดลองเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 10 คน ซึ่งแต่ละกลุ่มเริ่มดำเนินกิจกรรมไม่พร้อมกัน ทีมวิจัยดำเนินการจัดกิจกรรม และเก็บข้อมูลในกลุ่มทดลอง ณ ห้องกิจกรรมกลุ่ม หอผู้ป่วยจิตเวชชาย เมื่อสิ้นสุดการดำเนินกิจกรรมตามโปรแกรม ในแต่ละกลุ่ม ทีมผู้วิจัยประเมินคะแนนความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในกลุ่มทดลอง โดยใช้แบบประเมิน ระดับความรุนแรงของความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเวชไทย ภายหลังสิ้นสุดการทดลองทันที และระยะติดตามผล 2 สัปดาห์ สำหรับกลุ่มควบคุมจำนวน 30 คน จากหอผู้ป่วยแห่งที่ 2 ได้รับการพยาบาล ตามปกติ ได้แก่ การให้สุขภาพจิตศึกษารายบุคคลตามปัญหาความต้องการ จากนั้นทีมผู้วิจัยประเมินคะแนน ความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง โดยใช้แบบประเมินระดับความรุนแรงของความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง ในผู้ป่วยจิตเวชไทย หลังจากการได้รับการพยาบาลตามปกติทันที และในระยะติดตามผล 2 สัปดาห์ ก่อนที่ผู้ป่วย จะจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวน 2 ทางแบบวัดซ้ำ 

ผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างมีอายุระหว่าง 21-51 ปี อายุเฉลี่ย 36.62 ปี (SD = 8.98) สถานภาพสมรสโสด (ร้อยละ 75.00) เจ็บป่วยด้วยโรคจิตเภทตั้งแต่ 1 - 5 ปี (ร้อยละ 56.67) และค่ามัธยฐานของการรับไว้รักษาในโรงพยาบาล 3 ครั้ง เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่างของคุณสมบัติส่วนบุคคลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า ทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ก่อนการทดลองกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยคะแนน ความเสี่ยงต่อการก่อพฤติกรรมรุนแรงในระดับสูง (M = 21.37, SD = 3.59) ระยะสิ้นสุดการทดลองทันที อยู่ใน ระดับปานกลาง (M=12.87, SD=2.30) และระยะติดตามผลหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ อยู่ในระดับสูง (M = 15.87, SD = 3.31) ในขณะที่กลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยคะแนนความเสี่ยงต่อการก่อพฤติกรรมรุนแรง ก่อนการทดลอง ในระดับสูง (M = 21.77, SD =2.79) ระยะสิ้นสุดการทดลองทันที อยู่ในระดับต่ำ (M = 3.73, SD = 0.64) และระยะติดตามผลหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ อยู่ในระดับปานกลาง (M = 6.53, SD = 2.81) ผลการวิเคราะห์ ความแปรปรวน 2 ทางแบบวัดซ้ำ พบว่า ความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเภทชายกลุ่มทดลอง ในระยะ ก่อนการทดลอง หลังสิ้นสุดการทดลองทันที และระยะติดตามผล 2 สัปดาห์ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 802.246, p<.001) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาและโปรแกรมฯ มีผลต่อความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง ในผู้ป่วยจิตเภทชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 127.574, p<.001) และเมื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการ ก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเภทชายระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 106.529, p<.001)

ข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมการจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวในผู้ป่วยจิตเภทชาย สามารถลดระดับความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเภทลงได้ พยาบาลจิตเวชสามารถนำไปประยุกต์ใช้ ในการดูแลผู้ป่วยจิตเภทชายที่มีบริบทใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง และการศึกษาระยะยาวอาจเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรในหอผู้ป่วยจิตเวชได้

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

Ruangtrakool S. Psychiatry Textbook. 10th ed. Bangkok: Faculty of Medicine, Siriraj Hospital, Mahidol University; 2014.

Larson M, Vaughn MG, Salas-Wright CP, Delisi M. Narcissism low self-control and violence among a nationally representative sample. Crim Justice Behav. 2014;42(6): 644-61. Available from: https://doi.org/10.1177/0093854814553097

Chan HY, Lu RB, Tseng CL, Chou KR. Effectiveness of the anger-control program in reducing anger expression in patients with schizophrenia. Arch Psychiatr Nurs. 2003;17(2):88-95. https://doi.org/10.1053/apnu.2003.50001 PMID: 12701086

Yudofsky S, Silver JM, Jackson W. Endicott J, Williams D. The overt aggressive scale for the objective rating scale of verbal and physical aggression. Am J Psychiatry. 1986;143(1):35-9. https://doi.org/10.1176/ajp.143.1.35 PMID: 3942284

Araya T, Emnet E, Getachew R. Prevalence and associated factors of aggressive behavior among patients with schizophrenia at Ayder comprehensive specialized hospital Ethiopia. BioMed Res Int. 2020;7571939. https://doi.org/10.1155/2020/7571939 PMID: 32280703

Li W, Yang Y, Hong L, An FR, Ungvari GS, Ng CH, et al. Prevalence of aggression in patients with schizophrenia: a systematic review and meta-analysis of observational studies. Asian J Psychiatr. 2020;47:101846. https://doi.org/10.1016/j.ajp.2019.101846 PMID: 31715468

Whiting D., Gulati G, Geddes JR, Fazel S. Association of schizophrenia spectrum disorders and violence perpetration in adults and adolescents from 15 countries: a systematic review and meta-analysis. JAMA Psychiatry. 2022;79(2):120-32. https://doi.org/10.1001/jamapsychiatry.2021.3721 PMID: 34935869

Department of Mental Health. Guidelines for the care of psychiatric patients at high risk of violence. 2020. Available from: https://mhso.dmh.go.th/fileupload/202010061612167390.pdf (in Thai)

Nursing report on psychiatric emergency treatment at Prasrimahabhodi Psychiatric Hospital, Ubonratchathani. Annual patient statistics report ;2022.

Rueve ME, Welton RS. Violence and mental illness. Psychiatry (Edgmont). 2008;5(5):34-48. Available from: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/19727251/ PMID: 1972725

Thananchai S, Yunipan J. Factors associated with violent behavior in the community of patients with schizophrenia. Royal Thai Navy Medication Journal. 2019;46(3):31-46. Available from: https://he01.tcithaijo.org/index.php/nmdjournal/article/download/185617/157672/ (in Thai)

Ulrich RS, Bogren L, Gardiner SK, Lundin S. Psychiatric ward design can reduce aggressive behavior. J Environ Psychol. 2018;57:53-66. . Available from: https://doi.org/10.1016/j.jenvp.2018.05.002

Kalawa A, Ponrachom C. Development of violent behavior prevention and management program in the tertiary level hospital. Research and Development Health System Journal. 2020;13(3):27-35. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/RDHSJ/article/view/254567 (in Thai)

Sirintarangkoon W, Chaichumni N, Yimyuean S. The development of an anger management with mindfullness - based cognitive therapy program for schizophrenic patients having violence behaviors. The Journal of Psychiatric Nursing and Mental Health. 2019;33(3):68-85. Available from: : https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/232442/158818 (in Thai)

Ruksakul A, Jirarode A, Imkom E. The Effects of an emotion regulation program on the violent behavior of schizophrenia patients with alcohol dpendency in cmmunity. Journal of The Royal Thai Army Nurses. 2023;24(1):91-9. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/view/252639/177497 (in Thai)

Chaiprem M. Violent behavior of psychiatric in-patients at King Chulalongkorn Memorial Hospital.Thai Red Cross Nursing Journal. 2011;4(1): 58-66. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/40056/33057 (in Thai)

Ajzen I. The Theory of Planned Behavior. Organizational Behavior & Human Decision Processes.1991;50(2): 179-211. Available from: https://doi.org/10.1016/0749-5978(91)90020-T

Rosenbaum M. Self-control under stress: the role of learned resourcefulness. Advances in Behavior Research and Therapy. 1989;11(4):249-58. Available from: https://doi.org/10.1016/0146-6402(89)90028-3

Norwood SL. Research strategies for advanced practice nurse. Upper Saddle River (NJ): Prentice Hall Health; 2000.

Thongpradab J. Group therapy in psychiatric patients. Journal of The Royal Thai Army Nurse. 2020;21(1): 56-65. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/download/215040/164165/ (in Thai)

Railoy A, Harabutra T, Saisut K, Kwanmuang W, Sriugsorn N, Kitisrivorapan P. Development of a psychosocial program to reduce aggressive behavior in schizophrenia patients. The Journal of Psychiatric Nursing and Mental Health. 2024;38(1):94-114. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/JPNMH/article/view/266557/182674 (in Thai)

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-04-09

รูปแบบการอ้างอิง

1.
บุสหงษ์ ศ, เคนบุปผา เ, สันตะพันธุ์ โ, พละศักดิ์ ป. ผลของโปรแกรมการจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวต่อความเสี่ยงการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเภทชาย. J Thai Nurse Midwife Counc [อินเทอร์เน็ต]. 9 เมษายน 2025 [อ้างถึง 30 ธันวาคม 2025];40(02):268-84. available at: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/271700

ฉบับ

ประเภทบทความ

Research Articles