ประสิทธิผลของโปรแกรมสร้างเสริมความผูกพันของชุมชนในการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในกลุ่มเสี่ยง จังหวัดสุรินทร์
DOI:
https://doi.org/10.60099/jtnmc.v40i03.273605คำสำคัญ:
ความผูกพันของชุมชน, การป้องกัน , กลุ่มเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, สมรรถภาพปอดบทคัดย่อ
บทนํา โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นปัญหาสําคัญทางสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลก การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในชุมชน โดยให้แกนนําผู้ดูแลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเครือข่ายสุขภาพ และชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมโดยการประสานความร่วมมือ จะช่วยให้การป้องกันโรคได้ผลดีโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
วัตถุประสงค์การวิจัย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างเสริมความผูกพันของชุมชนในการป้องกันการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังของกลุ่มเสี่ยง โดยเปรียบเทียบผลลัพธ์ ระหว่างกลุ่มและภายในกลุ่ม ได้แก่ ความผูกพันของแกนนําชุมชน ความรู้ในการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง พฤติกรรมการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และสมรรถภาพปอด (อัตราการไหลสูงสุดของอากาศออกจากปอดขณะหายใจออกและระยะทางที่เดินได้ใน 6 นาที) ของกลุ่มเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ในชุมชนแห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์
การออกแบบวิจัย การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง ผู้วิจัยประยุกต์ แนวคิดความผูกพันของชุมชนของมาร์ทา วอคเกอร์ ในการพัฒนาโปรแกรมการสร้างเสริมความผูกพันชุมชนเพื่อป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในกลุ่มเสี่ยง ประกอบด้วย 4 ระยะ คือ 1) การจัดตั้งเวทีประชาคม เป็นกระบวนการในการวางแผนงานร่วมกับชุมชน 2) การเลือกแนวทางการแก้ปัญหา เป็นขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น 3) การวางแผนการปฏิบัติงานและแผนการประเมินผลการดําเนินงาน และ 4) การดําเนินการและประเมินผล เป็นระยะของการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้
วิธีดําเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ 1) แกนนำสุขภาพชุมชน เลือกแบบเจาะจง จัดเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 24 คน อย่างเจาะจง และ 2) กลุ่มเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย จัดเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 35 คน โดยจับคู่อายุและเพศ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) แบบคัดกรองโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอย่างง่าย 2) แบบสอบถามความผูกพันของชุมชน 3) แบบสอบถามความรู้ในการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 4) แบบสอบถามพฤติกรรม การป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 5) การประเมินสมรรถภาพปอด ด้วยเครื่องเป่าปอดและทดสอบการเดิน 6 นาที และ 6) โปรแกรมการสร้างเสริมความผูกพันของชุมชน ใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ ประกอบด้วย กิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการและการอภิปรายกลุ่ม การตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา ได้ค่าดัชนี ความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรมและแบบสอบถามความผูกพันของแกนนําชุมชน แบบสอบถามความรู้ในการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และพฤติกรรมการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เท่ากับ .89, .94, .92, และ .98 ตามลําดับ การตรวจสอบความเที่ยง ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามความผูกพันของแกนนําชุมชน แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมในการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เท่ากับ .84, .93 และ .90 ตามลําดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาการทดสอบทีอิสระและการทดสอบทีคู่
ผลการวิจัย กลุ่มแกนนําชุมชนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 87.5 เท่ากันทั้งสองกลุ่ม อายุเฉลี่ย 67.45 ปี (SD = 4.51) และ 51.33 ปี (SD = 0.33) ตามลําดับ กลุ่มเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 87.1 เท่ากันทั้งสองกลุ่ม กลุ่มทดลองมีอายุเฉลี่ย 48.74 ปี (SD = 5.47) กลุ่มควบคุมมีอายุเฉลี่ย 49.57 ปี (SD = 5.19) ซึ่งไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรม แกนนําชุมชนกลุ่มทดลองมีความผูกพันต่อชุมชนในการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (M = 4.26, SD = 0.43) มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (M = 2.28, SD = 0.19) และมากกว่ากลุ่มควบคุม (M = 2.11, SD = 0.15) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p <.001) กลุ่มเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังกลุ่มทดลองมีความรู้ในการป้องกันการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (M = 12.62. SD = 1.46) มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (M = 7.25. SD =0.97) และมากกว่ากลุ่มควบคุม (M=8.57, SD =0.69) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<.001) พฤติกรรมโดยรวมในการป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (M = 4.00, SD = 0.10) มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (M = 2.75, SD =0.18) และมากกว่ากลุ่มควบคุม (M = 2.78, SD=0.18) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p <.001) และมีสมรรถภาพปอดมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ
ข้อเสนอแนะ โปรแกรมการสร้างเสริมความผูกพันของชุมชนที่มุ่งเน้นบทบาทของแกนนําชุมชน 4 ในการศึกษาครั้งนี้มีประสิทธิผลที่ดี สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในชุมชนที่มีบริบทคล้ายกันเพื่อป้องกัน หรือชะลอการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังของกลุ่มเสี่ยง
Downloads
เอกสารอ้างอิง
World Health Organization. Chronic obstructive pulmonary disease (COPD) [Internet]. 2008 [cited 2024 Nov6]; Available from: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/chronicobstructive-pulmonary-disease-(copd)
American Lung Association. Breathless in America: new survey reveals impact of chronic obstructive pulmonary disease [Internet]. 2012 [cited 2023 Dec4]; Available from: https://www.lung.org/lung-health-diseases/lung-disease-lookup/copd
American Thoracic Society & European Respiratory Society. Standard for the diagnosis and management of patients with chronic obstructive pulmonary disease [Internet]. 2011 [cited 2023 Dec4]. Available from: https://www.thoracic.org/statements/resources/respiratory-disease-adults/copdexecsum.pdf
Bloom, B. S. (1971). Handbook on formative and summative evaluation of student learning. New York: Graw-Hill Book Company.
Gilmore B, Ndejjo R, Tchetchia A, de Claro V, Mago E, Diallo AA, et al. Community engagement for COVID-19 prevention and control: a rapid evidence synthesis. BMJ Glob Health [Internet]. 2020 [cited 2024 Jan5]; 5(10):e003188. Available from: http://dx.doi.org/10.1136/bmjgh-2020-003188
Poonkan C. Develop a participatory action research model for continuous care for patients with chronic obstructive pulmonary disease from hospital to community with a digital system in the district, health center service area 11. Health Center Research 11 Nakhon Si Thammarat Province. 2017.
Global Initiative for Chronic Obstructive Lung Disease (GOLD). Pocket guide to COPD diagnosis, management, and prevention: a guide for health care professionals. 2021 ed. Macquarie University, Sydney, Australia; 2021.
Information Technology and Communication Center, Office of the Permanent Secretary, Ministry of Public Health. Report group standards of major noncommunicable diseases [Internet]. 2018 [cited 2023 Oct 5]; Available from: https://hdc.moph.go.th/center/public/standard-report-detail/62cdb786f231afbaaaaaac1d5ff844b0
Walker MA. Community engagement. Virginia Cooperative Extension; 2011.
Sutat P, Montha K, Tharadol K, and Benjama C. Effects of a self-management program for pulmonary rehabilitation in patients with chronic obstructive pulmonary disease. Journal of Public Health. 2017. 47(2). 200-219.
Sunthongthao P. Effects of respiratory muscle training on pulmonary function and repetitive maximal running ability in futsal athletes [master’s thesis]. Bangkok: Chulalongkorn University; 2017.
Yasamut P, Muenma W, Srisuwannoppakul P, Prommarat C, Wongprom N, Chottinun A. Development of holistic and comprehensive care for patients with chronic obstructive pulmonary disease through the participation of health service network partners: Ban Hong District, Lamphun Province. Public Health Acad J 2020 ; 29(2) : 281-92.
Saongkwao S. Factors affecting the prevention of acute exacerbations in patients with chronic obstructive pulmonary disease [master’s thesis]. Chonburi: Burapha University; 2022.
Srikampa S, Moolsart S, Tipkanjanaraykha K. Development of a community-based chronic obstructive pulmonary disease management model: Tha Hat Yao Subdistrict, Phon Sai District, Roi Et Province. J Health Nurs Res 2022 ; 38(1) : 197-212.
Strategy and Planning Group, Non-Communicable Disease Division, Department of Disease Control, Ministry of Public Health. 5-year National Strategic Plan for Prevention and Control of Noncommunicable Diseases (2017-2021). Bangkok: Emotion Art; 2017.
Thoracic Society of Thailand under Royal Patronage. Guidelines for the diagnosis of chronic obstructive pulmonary disease in Thailand: revised ed. 2022. Bangkok: Thai Thoracic Society; 2022.14.
Zhou Y, Hu G, Wang D, Wang S, Wang Y, Liu Z, et al. Community-based integrated intervention for prevention and management of chronic obstructive pulmonary disease (COPD) in Guangdong, China: cluster randomized controlled trial. BMJ (Clin Res Ed). 2010;341:c6387. https://doi.org/10.1136/bmj.c6387
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.



