ประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างเสริมการจัดการตนเองในครอบครัวสำหรับกลุ่มสงสัยป่วยเบาหวานในจังหวัดชัยภูมิ
DOI:
https://doi.org/10.60099/jtnmc.v40i4.274794คำสำคัญ:
การจัดการตนเอง, การสนับสนุนของครอบครัว , พฤติกรรมการจัดการตนเอง , ดัชนีมวลกาย , ระดับน้ำตาลในเลือด , กลุ่มสงสัยโรคเบาหวานบทคัดย่อ
บทนำ โรคเบาหวานเป็นปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุขทั่วโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยรายใหม่อย่างต่อเนื่อง การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ การศึกษาที่ผ่านมา พบว่าการจัดการตนเองร่วมกับการสนับสนุนจากครอบครัว มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้เป็นโรคเบาหวานและกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด ส่งผลให้สามารถลดดัชนีมวลกายและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ กลุ่มสงสัยป่วยเบาหวาน เป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่างการวินิจฉัยโรค ซึ่งผลการวินิจฉัยอาจระบุได้ทั้งเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือ เป็นกลุ่มเสี่ยง หากสร้างเสริมการจัดการตนเองร่วมกับการสนับสนุนจากครอบครัวในระยะนี้ จะช่วยส่งผลดีต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ลดโอกาสในการพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานในอนาคด และยังช่วยควบคุมโรคในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัย
วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างเสริมการจัดการตนเองในครอบครัว ต่อความรู้ในการป้องกันโรคเบาหวาน การสนับสนุนของครอบครัว พฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันโรคเบาหวาน ดัชนีมวลกาย และระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มสงสัยป่วยเบาหวาน
แบบการวิจัย การวิจัยนี้เป็นแบบกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังประยุกต์แนวคิดการจัดการตนเองของบุคคลและครอบครัวของไรอัลและซาวิน ประกอบด้วยด้านบริบท โดยประเมินพฤติกรรมสุขภาพปัจจุบัน ปัจจัยเสี่ยง และศักยภาพของครอบครัวในการสนับสนุน ด้านกระบวนการ โดยจัดกิจกรรมในการเสริมสร้างความรู้ ทักษะความสามารถในการจัดการตนเองด้านอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียดโดยการสนับสนุนจากครอบครัว รวมถึงการกำกับติดตามและประเมินผล เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ระยะสั้นในการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้านการบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด นำสู่ผลลัพธ์ระยะยาว ได้แก่ ลดดัชนีมวลกายและระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อลดโอกาสในการเป็นโรคเบาหวาน
วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มสงสัยป่วยเบาหวานในจังหวัดชัยภูมิจำนวน 70 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายตามเกณฑ์คัดเข้าจัดเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 35 คน กำหนดขนาดของตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G* Power โดยใช้ขนาดอิทธิพล 0.80 จากการศึกษาที่ผ่านมา กำหนดอำนาจการทดสอบ .90 ผู้วิจัยระบุพื้นที่ในชุมชนอย่างเจาะจงให้เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จากนั้นสุ่มตัวอย่างเช้ากลุ่ม เครื่องมือวิจัยพัฒนาโดยผู้วิจัยแบ่งเป็น 2 ชุด ประกอบด้วย 1) โปรแกรมการสร้างเสริมการจัดการตนเองในครอบครัว ระยะเวลา 8 สัปดาห์ กิจกรรมประกอบด้วย การอบรมเชิงปฏิบัติการจำนวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 และ 4 เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการร่วมกับครอบครัว ฝึกทักษะการออกกำลังกายด้วยการเต้นตีคลีไฟประกอบเพลง และการกำกับติดตามผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โดยครอบครัวสัปดาห์ละ 1 ครั้งตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ (1) ข้อมูลทั่วไป (2) ความรู้ในการป้องกันโรคเบาหวาน (3) การสนับสนุนของครอบครัว (4) พฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันโรคเบาหวาน และ (5) การประเมินทางคลินิก ได้แก่ น้ำหนัก ส่วนสูง และระดับน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้ว ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรม และแบบสอบถามแต่ละส่วนได้เท่ากันคือ 1 ตรวจสอบความเชื่อมั่นได้ค่า KR-20 ของแบบสอบถามความรู้ในการป้องกันโรคเบาหวานเท่ากับ .82 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบราคของแบบสอบถามการสนับสนุนของครอบครัว และพฤติกรรมการจัดการตนเองเท่ากับ .86 และ .89 ตามลำดับ เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบที่แบบอิสระและการทดสอบที่แบบคู่
ผลการศึกษา กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีข้อมูลทั่วไปและข้อมูลสุขภาพไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อายุเฉลี่ย (57.40, SD = 3.35 ปี และ 57.94, SD-4.45 ปีตามลำดับ) ภายหลัง เข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีความรู้ในการป้องกันโรคเบาหวานโดยรวม (1=7.156, p <.001) และรายด้านมากกว่ากลุ่มควบคุม และมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=-9.367, p <.001) การสนับสนุนของครอบครัวในการป้องกันโรคเบาหวานในภาพรวม (t=10.957, p<.001) และรายด้านมากกว่ากลุ่มควบคุม และมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=-.11.580, p <.001) พฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันโรคเบาหวานโดยรวม (t=17.024, p<.001) และรายด้านมากกว่ากลุ่มควบคุม และมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม โปรแกรม (1=-20.922,px.001) ดัชนีมวลกายน้อยกว่ากลุ่มควบคุม (t=-3.100, p=.003) และน้อยกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (1=7.425, p<.001) ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่ากับกลุ่มควบคุม (๒-5.431, p<.001) และน้อยกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=-7.395, p<.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ข้อเสนอแนะ พยาบาลและทีมสหวิชาชีพที่ให้การดูแลกลุ่มสงสัยโรคเบาหวานสามารถนำโปรแกรมการสร้างเสริมการจัดการตนเองในครอบครัว โดยเฉพาะการสร้างเสริมความรู้และความเชื่อเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การสร้างเสริมทักษะการควบคุมกำกับตนเอง และการสร้างเสริมครอบครัวในการป้องกันโรคเบาหวานไปใช้ในกลุ่มเป้าหมายที่มีบริบทใกล้เคียงกัน
Downloads
เอกสารอ้างอิง
World Health Organization. Diabetes. Retrieved July 6, 2024, Available from: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/diabetes
International Diabetes Federation. IDF Diabetes Atlas. Retrieved July 6, 2024, Available from: https://www.diabetesatlas.org/atlas/tenth-edition.2021
Ministry of Public Health, Health Data Warehouse System. 2024. Date of access: July 9, 2024, Available from: https://hdc.moph.go.th/cpm/public/main. (in Thai)
International Health Policy Program: IHPP. Retrieved July 12, 2024, Available from: https://www.ihppthaigov.net/privacy-policy
Ministry of Public Health, Non-Communicable Disease Control Department; 2024 Available from: https://ddcservic.moph.go.th (in Thai)
Ministry of Public Health, Department of Health Service Support; 2017 Department of Health Service Support Ministry of Public Health. Nonthaburi: Ministry of Public Health. (in Thai)
The Behavioral Risk Factor Surveillance System. Retrieved July 17, 2024, Available from: https://www.cdc.gov/brfss/index.html.2024.
Ministry of Public Health. Thai Way of Good Health Strategy 5 Years (B.E. 2023–2027). Bangkok: Policy and Strategy Bureau; 2022. (in Thai)
National Health Security Office (NHSO). Benefits Manual for Health Promotion and Disease Prevention, Fiscal Year 2023. Bangkok: NHSO; 2023. (in Thai)
Department of Health. Clinical Guidelines for DPAC (Diabetes and Hypertension Prevention and Care) for Primary Care Units. Bangkok: Department of Health; 2022. (in Thai)
Nakhon Ratchasima Provincial Public Health Office. Non-communicable Diseases and Disability Control Division. 2024. Guide to Managing Diabetes Patients to Achieve Remission (Diabetes Remission). First edition. (in Thai)
Rodprom P, Jansook N, Mekphat P. The effects of a health behavior change program on knowledge about diabetes and health behavior of the people at risk for diabetes. Journal of Research for Health Improvement and Quality of Life. 2023; 4(3): 1-12. (in Thai)
Masingboon K, Moungkum S, Mahakayanun S. Factors related to diabetes prevention behaviors of persons with pre-diabetes. Nursing Journal of the Ministry of Public Health. 2017; 27(2): 214-27. (in Thai)
Sirithe P, Suphankul P. Health literacy and self-regulation behaviors Blood sugar levels in elderly patients with type 2 diabetes. Journal of Law and Policy Public Health. 2022; 8(1): 157-171. (in Thai)
Sringkarn S, Tipsutthip T, Munluan K. Control of blood sugar levels in patients type 2 diabetes with self-management and family support. Public Health Journal, Burapha University. 2024; 19(1), January-June 2024, 68-80. (in Thai)
Ryan P, Sawin KJ. The Individual and Family Self-Management Theory: Background and perspectives on context, process, and outcomes. Nursing Outlook. 2009; 57(4): 217–25.
Janthakot I. A behavior modification program for diabetes prevention among at-risk groups in the jurisdiction of Donjik Subdistrict Health Promotion Hospital through participation and social support. Journal of Public Health Research, Ubon Ratchathani Rajabhat University. 2023; 13(3): 71-80. (in Thai)
Jantsuharai P. The effectiveness of a self-monitoring program combined with the use of the LINE application among personnel with a body mass index above the standard at Prachuap Khiri Khan Hospital. Journal of Nursing and Health Innovations. 2024; 1(1): 1-15. (in Thai)
Setthaphan N, Lirtmulikaporn S, Narin R. (2021). Promoting an individual and family self-management among persons with metabolic syndrome in community: a case study. Chiang Mai Medical Journal. 2021; 60(4): 747-765. (in Thai)
Senapan S, Sittiban S. Guidelines for self-management to reduce risk factors for the prevalence of diabetes in the Ban Pak Thon community, Chawang District, Nakhon Si Thammarat Province. Journal of Medical Science, Region 11. 2018; 22(1): 805-12. (in Thai)
Masinboon K, Muangkhum S, Mahakayanant S. Factors associated with Behavior to prevent diabetes in high-risk groups. Journal Nurses of the Ministry of Public Health. 2017; 27(2), 214-27. (in Thai)
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.



