ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพในมารดาวัยรุ่นที่มีบุตรคนแรก
DOI:
https://doi.org/10.60099/jtnmc.v40i4.274984คำสำคัญ:
มารดาวัยรุ่นที่มีบุตรคนแรก , การรับรู้สมรรถนะแห่งตน, พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ , สื่ออิเล็กทรอนิกส์บทคัดย่อ
บทนำ มารดาวัยรุ่นที่มีบุตรคนแรกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย จิตใจและอารมณ์ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของมารดาหลังคลอด การมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ดีจึงมีความสำคัญต่อมารดาวัยรุ่นหลังคลอดที่มีบุตรคนแรก การปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ถูกต้องเหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งนี้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตนเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ในระดับสูงกับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งการรับรู้สมรรถนะแห่งตน คือ การที่มารดาวัยรุ่น รับรู้และตัดสินความสามารถของตนเอง และนำไปสู่การวางแผนการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพให้สำเร็จผลได้ หากมารดาวัยรุ่นมีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนดี จะช่วยให้มีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม นำไปสู่การมีภาวะสุขภาพที่ดี
วัตถุประสงค์ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของ มารดาวัยรุ่นหลังคลอดที่มีบุตรคนแรกระหว่างกลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ และกลุ่มทดลอง ที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับการพยาบาลตามปกติ
การออกแบบวิจัย การศึกษานี้เป็นแบบกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่ม วัดผลหลังการทดลอง ผู้วิจัย ประยุกต์ใช้แนวคิดการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ตามทฤษฎีส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์และคณะ และแนวคิดของแบนดูรา ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรมในการพัฒนาโปรแกรม ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการรับรู้และความเชื่อมั่นในความสามารถของมารดาวัยรุ่นหลังคลอดในการจัดการและปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ โดยผ่านแหล่งการเรียนรู้ 4 แหล่ง ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบด้วย 3 ระยะในช่วงระยะเวลา 6 สัปดาห์หลังคลอด ได้แก่ ระยะที่ 1: ภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังคลอด ระยะที่ 2: 48 ชั่วโมงหลังคลอด และระยะที่ 3: สัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 6 หลังคลอด
วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาวัยรุ่นที่คลอดบุตรคนแรก จำนวน 32 คน ได้รับการรักษา ณ หอผู้ป่วยสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 เลือกตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้าดังนี้ 1) อายุ 10 - 19 ปี 2) เป็นมารดาครรภ์เดี่ยวที่คลอดทางช่องคลอด 3) ไม่มีภาวะแทรกช้อนในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และระยะหลังคลอด ได้แก่โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะตกเลือดหลังคลอด ภาวะติดเชื้อ หลังคลอด 4) ทารกไม่มีภาวะแทรกช้อนจากการคลอดหรือภายหลังคลอด เช่น ได้รับบาดเจ็บจากการคลอด 5) มารดาสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ มีโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนที่มีแอปพลิเคชันไลน์ และ 6) มีคะแนนการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ในระดับน้อยหรือปานกลาง (มีคะแนนระหว่าง 34.00 - 124.66) คำนวณขนาดตัวอย่าง ด้วยโปรแกรม G*Power โดยกำหนด ระดับนัยสำคัญ .05 อำนาจการทดสอบ .95 ค่าขนาดอิทธิพลที่ได้จากงานวิจัยที่ผ่านมาเท่ากับ 0.64 ได้กลุ่มตัวอย่าง 32 คน จัดเข้ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองแบบเจาะจง กลุ่มละ 16 คน กลุ่มทดลอง เข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะ แห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ดำเนินกิจกรรม 3 ระยะ ใช้ระยะเวลา 6 สัปดาห์หลังคลอดโดยมีกิจกรรมการ ส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ทั้ง 4 แหล่งการเรียนรู้ได้แก่ ประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง ตัวแบบหรือประสบการณ์ของบุคคลอื่น การชักจงด้วยคำพูด และ สภาวะทางร่างกายและอารมณ์ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 2) แบบบบันทึกการติดตามทางโทรศัพท์ร่วมกับแอปพลิเคชันไลน์ และ 3) แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของการปฏิบัติพฤติกรรม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และ 2) แบบสอบถามพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งประเมินพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของมารดาวัยรุ่นหลังคลอด 6 ด้าน ได้แก่ 1) ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ 2) โภชนาการ 3) การเคลื่อนไหวร่างกาย 4) การจัดการความเครียด 5) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ 6) การพัฒนาทางจิตวิญญาณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ การทดสอบ ฟิชเชอร์เอ็กแชค และการทดสอบแมนวิทนีย์ยู
ผลการวิจัย กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีค่ามัธยฐานของอายุ คือ 17 และ 17.5 ปี (10R = 3.0, IQR = 2.0) ส่วนใหญ่มีอาชีพนักเรียนหรือนักศึกษา(ร้อยละ56.25,50) และจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 56.25, 68.75) มีสถานภาพสมรสโสด (ร้อยละ 93.75, 68.75) ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย (ร้อยละ 93.75, 75) และมีรายได้เพียงพอ (ร้อยละ 81.25, 75) สามีมีอายุ 20 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 68.75, 62.5) สามีของกลุ่มทดลองประกอบอาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน ร้อยละ 43.75 และ สามีของกลุ่มควบคุมประกอบอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 37.5 ภายหลังสิ้นสุดการทดลอง พบว่า คะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของมารดาวัยรุ่นหลังคลอด กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) โดยคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพรายด้าน ได้แก่ ด้าน ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ด้านโกชนาการ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านการพัฒนาทางจิตวิญญาณ และด้านการจัดการความเครียดของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.05) ส่วนพฤติกรรมสุขภาพด้านการเคลื่อนไหวร่างกายไม่มีความแตกต่างกัน (p = 060)
ข้อเสนอแนะ พยาบาลผดุงครรภ์สามารถนำโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปใช้เพื่อให้มารดาวัยรุ่นหลังคลอดที่มีบุตรคนแรกมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม ด้านการศึกษา สถาบันการศึกษาพยาบาลสามารถนำผลการวิจัยไปไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนจัดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาพยาบาล ให้เกิดความตระหนักถึงการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในมารดาวัยรุ่นหลังคลอด และควรมีการศึกษาติดตาม รวมทั้งพัฒนาและประเมินผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพในมารดาวัยรุ่น กลุ่มอื่น ๆ เช่น มารดาวัยรุ่นที่ได้รับการผ่าตัดคลอด หรือคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น
Downloads
เอกสารอ้างอิง
World Health Organization. Adolescent pregnancy; 2014. Available from: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/adolescent-pregnancy
Bureau of Reproductive Health, Department of Health, Ministry of Public Health. Adolescent and youth reproductive health situation in 2023; 2023. Available from: https://rh.anamai.moph.go.th/th/cms-of-1/219653 (in Thai)
Ganchimeg T, Ota E, Morisaki N, Laopaiboon M, Lumbiganon P, Zhang J, Yamdamsuren B, et al. Pregnancy and childbirth outcomes among adolescent mothers: a World Health Organization multicountry study. BJOG. 2014;121 Suppl 1:40-8. https://doi.org/10.1111/1471-0528.12630 PMID: 246 41534
Oyeyemi AL, Aliyu SU, Sa’ad F, Rufa’i AA, Jajere AR, Oyeyemi AY. Association between adolescent motherhood and maternal and child health indices in Maiduguri, Nigeria: a community-based cross-sectional study. BMJ open. 2019;9(3):e024017. https://doi.org/10.1136/bmjopen-2018-024017 PMID: 30852533
Cunningham FG, Leveno JK, Bloom LS, Dashe SJ, Hoffman LB, Casey MB, et al. Williams Obstetrics. 25th ed. New York: McGraw-Hill; 2018.
Bureau of Reproductive Health, Department of Health, Ministry of Public Health. Handbook of integrated care for adolescent mother. Nonthaburi; CG Tools; 2021. Available from: https://rh.anamai.moph.go.th/th/yfhs-guide/3314#wow-book/3 (in Thai)
Khoonphet C. Lifestyles of first-time adolescent mothers. [Thesis]. Songkla: Prince of Songkla University; 2014. (in Thai)
Agnafors S, Bladh M, Svedin CG, Sydsjö G. Mental health in young mothers, single mothers and their children. BMC Psychiatry. 2019;19(112):1-7.. https://doi.org/10.1186/s12888-019-2082-y PMID: 30975129
Pender NJ, Murdaugh CL, Parsons MA. Health promotion in nursing practice. 7th ed. Boston: Pearson; 2014.
Walker SN, Sechrist, KR, Pender NJ. Health Promotion Model - Instruments to measure health promoting lifestyle: Health-Promoting Lifestyle Profile [HPLP II] (Adult Version). 1995. Available from: https://deepblue.lib.umich.edu/handle/2027.42/85349
Sangsawang J, Supavitipatana B, Sriaporn P. Factors related to health promoting behaviors among adolescent mothers. Nursing Journal. 2019;46(4): 59-69. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/cmunursing/article/view/229971/156524 (in Thai)
Mallick, DR. Perceived health status, perceived self-efficacy, and health promoting behaviors of Bangladeshi postpartum women [Thesis]. Songkla: Prince of Songkla University; 2010.
Faramee P, Sriarporn P, Supavitipatana B. Factors predicting health promotion behaviors among adolescent mothers. Journal of Phrapokklao Nursing College. 2022;33(2):146-158. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pnc/article/view/258837/175857 (in Thai)
Bandura A. Self-efficacy: the exercise of control. New York: WH Freeman/Times Books/Henry Holt; 1997.
Taraka P, Chaisawan K, Yaemsuda T. The effects of perceived self-efficacy promoting program on health promoting behavior of primigravida adolescents. Royal Thai Navy Medical Journal. 2019;46(2):319-335. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nmdjournal/article/view/214721 (in Thai)
Panpeng Y. The health promotion of teenagers aged using of social media. Interdisciplinary Sripatum Chonburi Journal. 2021;7(1):21-9. Available from: https://www.chonburi.spu.ac.th/interdiscip/filepdf/2021040935406969.pdf (in Thai)
Faul F, Erdfelder E, Buchner A, Lang AG. Statistical power analyses using G*Power 3.1: tests for correlation and regression analyses. Behav Res Methods. 2009; 41(4),1149-60. https://doi.org/10.3758/brm.41.4.1149 PMID: 19897823
Gray JR, Grove SK, Sutherland S. Burns & Grove’s the practice of nursing research: Appraisal, synthesis, and generation of evidence. 8th ed. St. Louis, MO: Saunders Elsevier; 2017.
Chonlatankampanat W, Khanobdee C, and Pongrua P. The effects of a self-efficacy promoting program on self-care behaviors and newborn care behaviors of first-time mothers. Journal of Phrapokklao Nursing College. 2018;29(1):29-41. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pnc/article/view/132614/99723 (in Thai)
Jirawattanaseat W. The digital generation kinds within social media society and social learning. Journal of Education Futurology. 2016;1(1);1-10. (in Thai)
Witoolkollachit P, editor. eHealth Strategy, Ministry of Public Health (2017-2026). Nonthaburi: Office of the Permanent Secretary, Ministry of Public Health; 2017. Available from: https://ops.moph.go.th/public/download/eHealth_Strategy_THAI_16NOV17.pdf (in Thai)
Budsaengdee B, Chankhao C. Effect of using an application for enhancing childbirth self-efficacy to cope with labor pain and perception of the childbirth experience of nulliparous pregnant adolescents. Thai Red Cross Nursing Journal. 2021;14(1): 241-55. Availablle from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/253344/172250 (in Thai)
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสภาการพยาบาล

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.



