การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลสำหรับผู้บริหารทางการพยายาลระดับต้น: กรณีศึกษาโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเขตภาคเหนือ

ผู้แต่ง

  • มนฑนัฏฐ์ ปาละ โรงพยาบาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

DOI:

https://doi.org/10.60099/jtnmc.v41i01.275453

คำสำคัญ:

รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก, การพัฒนาคุณภาพการพยาบาล, ผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น , มาตรฐานการพัฒนาคุณภาพ, การกำกับดูแลวิชาชีพด้านการพยาบาล

บทคัดย่อ

บทนำ ผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้นมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันคุณภาพบริการในโรงพยาบาลให้บรรลุตามมาตรฐาน จากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่า ผู้บริหารระดับต้นมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์และความเข้าใจในมาตรฐานการพัฒนาคุณภาพด้านการกำกับดูแลวิชาชีพด้านการพยาบาล ดังนั้น การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมจึงเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความสามารถในการบริหารและพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในระดับหน่วยงาน 

วัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลสำหรับผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น 2) เพื่อประเมินผลลัพธ์ของการนำรูปแบบการเรียนรู้ฯ ไปใช้ต่อความรู้ และความพึงพอใจตามการรับรู้ของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น 

การออกแบบการวิจัย การวิจัยและพัฒนา 

การดำเนินการวิจัย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงพัฒนา มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการรูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลสำหรับผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้บต้น กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น ประสบการณ์ในการบริหารไม่เกิน 10 ปีที่โรงพยาบาล 26 คน ดำเนินการโดยการสำรวจ และการสนทนากลุ่ม ขั้นตอนที่ 2 ออกแบบและพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลสำหรับผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้นฯ ดำเนินการโดยการระดมสมองและสนทนากลุ่ม จำนวน 26 คน ขั้นตอนที่ 3 นำรูปแบบการเรียนรู้ฯ ที่ได้พัฒนาขึ้นสู่การปฏิบัติจริง ตามแผนที่กำหนดไว้ ขั้นตอนที่ 4 ประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารทางการพยาบาล ระดับต้นฯ จำนวน 26 คน ดำเนินการโดยวัดประเมินผลความรู้ (post 1est) และสำรวจเพื่อประเมินรูปแบบการเรียนรู้ฯตามการรับรู้ของผู้บริหารระดับต้น คุณภาพเครื่องมือวิจัย ประเมินความตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือวิจัย ทั้ง 4 ชุด โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน โดยการหาตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา แบบดัชนีความสอดดล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item-Objective Congruence, IOC) นำผลที่ได้จากการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิมาวิเคราะห์ 10C เป็นรายข้อ แล้วพิจารณาปรับข้อคำถามในกรณีค่า 10C < .50 โดยผลประเมิน ความตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือวิจัยภาพรวม ค่า 10C = .92 จำแนกได้เป็น แบบสำรวจขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการรูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพสำหรับผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น ค่า 10C =0.99 แนวคำถามสนทนากลุ่มขั้มขั้นตอนที่ 1 คำ 10C = .92 แนวคำถามสนทนากลุ่มขั้มขั้นตอนที่ 2 ค่า IOC = .80 แบประเมินรูปแบบการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ ค่า 10C = 1.00 และแบบสอบถามขั้นตอนที่ 4 การประเมินรูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลฯ ตามการรับรู้ของผู้บริหาระดับดัน ค่า IOC = .98 โดยคำความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 4 ทดสอบด้วย สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .99 และ .98 ตามลำดับ

ผลการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 พบว่าสภาพปัจจุบันในการพัฒนาคุณภาพด้านการบริหารการพยาบาลภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง (M 3.16, SD 0.62) โดยประเด็นด้านการประเมินการบรรลุเป้าหมายของการบริหารการพยาบาลมีคำเฉลี่ยต่ำที่สุด จัดอยู่ในระดับปานกลาง (M 3.11, SD 0.52) และด้านปฏิบัติการพยาบาล ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M 3.59, SD 0.63) ประเด็นด้านการติดตามประเมินผลลัพธ์การปฏิบัติการพยาบาล การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และการประเมินการบรรลุเป้าหมายของการปฏิบัติการพยาบาลมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด จัดอยู่ในระดับมาก (M 3.54,SD 0.74) จากการสนทนากลุ่มพบว่า ประเด็นปัญหาในปัจจุบัน ประกอบด้วย ภาระงานที่มาก เวลาในการเรียนรู้ที่ไม่เพียงพอ ขาดความรู้ความเข้าใจในมาตรฐานพัฒนาคุณภาพด้านการกำกับดูแลวิชาชีพด้านการพยาบาล การเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลที่ผ่านมายังไม่ครอบคลุม การเชื่อมโยง ระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติไม่ชัดเจน การเรียนรู้ที่ผ่านมาเน้นทฤษฎีมากว่าการปฏิบัติจริง และผู้บริหาร ระดับต้นส่วนใหญ่ต้องการรูปแบบการเรียนรู้ที่เป็นเชิงปฏิบัติการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบผสมสาน ขั้นตอนที่ 2 ออกแบบ สร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ฯ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก (active leaning) ร่วมกับแนวคิด การพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ ตอนที่ II-2.1 การกำกับดูแลวิชาชีพด้านการพยาบาล โดยผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้นเป็นผู้ร่วมตัดสินใจเลือกหัวข้อและรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก ผ่านการระดมสมองและสนทนากลุ่ม จากวิธีการเรียนรู้เชิงรุก 10วิธีเลือกมามา วิธีที่มีผู้เลือกมากที่สุด ซึ่งประกอบด้วย วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (cooperative leaming) วิธีการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (inqwiry- based learming) และวิธีการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (project- based Iearning) โดยแบ่งเป็นโปรแกรม การเรียนรู้ด้านการบริหารการพยาบาล จำนวน 15 ชั่วโมง และโปรแกรมการเรียนรู้ด้านการปฏิบัติการพยาบาล จำนวน 10 ชั่วโมง และประเมินรูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน โดยการหารหา content validity แบบ IOC พบว่าผลการประเมินรูปแบบการเรียนร์ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมมากที่สุด ค่า IOC =1.00 ขั้นตอนที่ 3 นำรูปแบบการเรียนรู้ฯ ที่ได้พัฒนาขึ้น ซึ่งประกอบด้วย โปรแกรมการเรียนรู้ ด้านบริหารการพยาบาล จำนวน 7 หัวข้อครอบคลมเนื้อหาตามมาตรฐาน HA ตอนที่11-2.1 (ก) รวมระยะเวลา 900 นาที (15ชั่วโมง) และโปรแกรมการเรียนรู้ด้านปฏิบัติการพยาบาล จำนวน 4 หัวข้อ ครอบคลุมเนื้อหาตาม มาตรฐาน HA ตอนที่ 11-2.1 (ช) รวมระยะเวลา 600 นาที(10ชั่วโมง)โดยดำเนินการตามวัมวันเวลาที่สะดวกของ ผู้บริหารระดับต้น ขั้นตอนที่ 4 ประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลฯ ตามการรับรู้ของผู้บริหารระดับต้น พบว่ารูปแบบการเรียนรู้ภาพรวมด้านบริหารการพยาบาลส่งผลให้ผู้เรียน มีความรู้ ความเข้าใจ อยู่ในระดับมากที่สุด (M 4.52, SD 0.59) และ ด้านปฏิบัติการพยาบาลอยู่ในระดับมากที่สุด (MM 4.56, SD 0.56) โดยความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนรู้ด้านบริหารการพยาบาล (M 4.62, SD 0.57) และด้านปฏิบัติการพยาบาล (M 4.2, SD 0.50) อยู่ในระดับมากที่สุด และผลประเมินความรู้ (post-test) ด้านบริหาร คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 87.75 ด้านปฏิบัติการพยาบาลคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 96.69 รวมทั้งได้ติดตามผลลัพธ์ที่ผู้บริหารระดับต้นได้นำไปพัฒนาระบบคุณภาพในหน่วยงานหลังผ่านรูปแบบการเรียนรู้ 3 เดือน พบว่ามีผลงานเชิงประจักษ์ที่ผู้บริหารระดับต้นได้นำความรู้ไปพัฒนาในหน่วยงาน ได้แก่ Service Profle ฉบับสมบูรณ์ แผนนิเทศทางการพยาบาลที่มีผลลัพธ์ครอบคลุม โครงการ/ กิจกรรมพัฒนาคุณภาพ ในหน่วยงาน พัฒนา CQ1/ นวัตกรรมในหน่วยงาน แผนการพยาบาล/แผนการจำหน่ายรายโรค เป็นต้นต้น

ข้อเสนอแนะ รูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพที่พัฒนาขึ้นนี้เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ ในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการขององค์กร และเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลในอนาคต สามารถนำรูปแบบนี้ไปประยุกต์ใช้ในการอบรมผู้บริหาร ทางการพยาบาลในองค์กรอื่น และควรมีการติดตามผลระยะยาวเพื่อศึกษาผลลัพธ์ต่อการปฏิบัติงาน

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

Sookchaya P. (Ed.). Nursing and midwifery strategic plan 2022 – 2026 [internet]. Nonthaburi: Thailand Nursing and Midwifery Council; 2022. Available from: https://www.tnmc.or.th/news/959 (in Thai)

The Healthcare Accreditation Institute (Public Organization). Hospital and healthcare standards 5th edition [Internet]. Nonthaburi: The Healthcare Accreditation Institute (Public Organization); 2022. Available from: https://backend.ha.or.th/fileupload/DOCUMENT/00148/77c77e3f-ed2f-41a9-90d4-22164a69a871.pdf (in Thai)

Nursing Division, Naresuan University Hospital. Annual report for the fiscal year 2024. Phitsanulok: Faculty of Medicine, Naresuan University; 2024. (in Thai)

Nursing Division. Roles and functions of professional nurses. Nonthaburi: Suetawan Publishing House; 2018. Available from: https://www.don.go.th/?page_id=917 (in Thai)

Wirojwanich N, Kanthasorn T. The development of first line manager competency assessment scale, Naresuan University Hospital. Journal of Nursing and Health Research. 2022;23(1):67-79. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnpy/article/download/253141/172583/976222 (in Thai)

Vyas M. Traditional learning: students insights. Journal of Pharmaceutical Negative Results. 2022;13(7): 3986-95. Available from: https://www.pnrjournal.com/index.php/home/article/view/5247/6221

Sutthirat C, Sutthirat P. Active learning: concepts, methods, and techniques. Phitsanulok: Rattanasuwannakarnphim 3 Printing; 2024. (in Thai)

Srisa-ard B. Basic research principles. 9th ed. Bangkok: Suriyasarn; 2011. (in Thai)

Buason R. Educational research and innovation development. Bangkok: Chulalongkorn University Press; 2022. (in Thai)

Thailand Nursing and Midwifery Council. Competency of nurse executives. Nonthaburi: Sinthaweekit Printing; 2025. Available from: https://www.tnmc.or.th/news/1559 (in Thai)

Promethean Webpage. 12 active learning strategies in the classroom [Internet]. 2021 Jun 16 [cited 2025 Jul 1]. Available from: https://www.prometheanworld.com/gb/resource-centre/blogs/12-active-learningstrategies-in-the-classroom/

Ratchapakdee P, Chamnankit P, Vonganusith V. The development blended learning model using collaborative and case-based learning to enhance learning achievement, problem solving, team learning skills and attitudes toward nursing profession of nursing student. Journal of Social Science and Cultural. 2023; 7(2):460-78. Available from: https://gsmis.snru.ac.th/e-thesis/thesis_detail?r=59632227104 (in Thai)

Boyd M. Front-line nurse manager succession planning: building and promoting strong nurse leaders through implementation of a nurse manager development program. Master of Science in Nursing Theses and Projects. Boiling Springs, NC: Gardner-Webb University; 2020 [cited 2024 Feb 12]. Available from: https://digitalcommons.gardner-webb.edu/nursing-msn/26/

Chandler AL. Quality improvement competency development for correctional nursing leaders [Dissertation]. St. Louis: University of Missouri-Saint Louis; 2022 [cited 2024 Feb 12]. Available from: https://www.proquest.com/openview/4f6d7571ad0a0fa006cc7a3cfe791836/1?pq-origsite=gscholar&cbl=18750&diss=y

Center for Educational Innovation, University of Minnesota. Active learning [Internet]. [cited 2023 Nov 19]. Available from: https://cei.umn.edu/teachingresources/active-learning

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-12-29

รูปแบบการอ้างอิง

1.
ปาละ ม. การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลสำหรับผู้บริหารทางการพยายาลระดับต้น: กรณีศึกษาโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเขตภาคเหนือ. J Thai Nurse Midwife Counc [อินเทอร์เน็ต]. 29 ธันวาคม 2025 [อ้างถึง 30 ธันวาคม 2025];41(01):86-104. available at: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/275453

ฉบับ

ประเภทบทความ

Research Articles