ผลของการใช้นวัตกรรมทริปเปิ้ลเอส เฮชอาร์พี ต่อการรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรงของจอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูงและ พฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

ผู้แต่ง

  • จันทร์จิรา อินจีน วท.ม. (สาธารณสุขศาสตร์) วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช สถาบันพระบรมราชชนก
  • พิชชากร อินทโชติ พย.บ. วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช สถาบันพระบรมราชชนก
  • ณัฐวดี สิทธิ์ขุนทศ พย.บ. วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช สถาบันพระบรมราชชนก
  • สุวัฒน์ชัย จันทร์หมื่น พย.บ. วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช สถาบันพระบรมราชชนก
  • วิทัต ลุยทอง พย.บ. วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช สถาบันพระบรมราชชนก

คำสำคัญ:

นวัตกรรม, จอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูง, พฤติกรรมการดูแลตนเอง, ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

บทคัดย่อ

          การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้โอกาสเสี่ยงการรับรู้ความรุนแรง และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อควบคุมภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูงของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงก่อนและหลังใช้นวัตกรรม Triple S-HRP ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มารับบริการคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลวัดโบสถ์ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีจับฉลาก ตามเกณฑ์คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 122 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 61 คน ระยะเวลาดำเนินการ 2 สัปดาห์ ประกอบด้วย การให้ความรู้ประกอบการใช้นวัตกรรม Triple S-HRP และการเยี่ยมติดตามทางโทรศัพท์ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติ Paired t-test และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า หลังใช้นวัตกรรมกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อควบคุมภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นกว่าก่อนใช้นวัตกรรม และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่านวัตกรรม Triple S-HRP สามารถนำไปเป็นสื่อการสอนให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากโรคความดันโลหิตสูง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเพิ่มความตระหนักถึงความรุนแรงของโรคและโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา

เอกสารอ้างอิง

งานเวชระเบียน โรงพยาบาลวัดโบสถ์. (2565). สถิติผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลวัดโบสถ์. (เอกสารอัดสำเนา).

เตือนจิตร แขรั้ง. (2566). ประสิทธิผลของโปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้. วารสารวิชาการสาธารณสุขจังหวัดตาก, 3(1). [สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2567]; แหล่งข้อมูล: https://library.takpho.go.th/web/files/917e84c01d2ae28d4e8ac5d026d305ec.pdf

ทรัพย์ทวี หิรัญเกิด, ไพฑูรย์ วุฒิโส และเมวดี ศรีมงคล. (2564). ผลของโปรแกรมความเชื่อด้านสุขภาพต่อความรู้ พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง และระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เขตรับผิดชอบโรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ. วารสารพยาบาลทหารบก, 22(1), 478-487. [สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2567]; แหล่งข้อมูล: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/view/249047

ปิยรัตน์ ชลสินธุ์, จุฬารักษ์ กวีวิวิธชัย, นรีมาลย์ นีละไพจิตร และนพวรรณ เปียซื่อ. (2559). ผลของโปรแกรมควบคุมความดันโลหิต ต่อความเชื่อด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ ปริมาณโซเดียมที่ได้รับ และระดับความดันโลหิตของผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน. วารสารสภาการพยาบาล, 31(4), 63-75. [สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2567]; แหล่งข้อมูล: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/78290/62794

พรชัย จูลเมตต์, สมชาย ตรีทิพย์สถิตย์, ฉวีวรรณ ชื่นชอบ, จิดาภา จุฑาภูวดล และกนิษฐา ภู่พวง. (2562). ประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจร่วมกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน [ออนไลน์]. [สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2567]; แหล่งข้อมูล: https://buuir.buu.ac.th/handle/1234567890/3885

พิเชษฐ์ หอสูติสิมา. (2562). ผลของโปรแกรมสุขศึกษาในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงกลุ่มเสี่ยง ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2560. วารสารวิชาการ สคร. 9, 25(2), 56-66. [สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2567]; แหล่งข้อมูล: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ODPC9/article/download/189558/147462/672038

มานี หาทรัพย์, มงคลชัย หาทรัพย์ และทัศนีย์ นะแส. (2557). ความรู้ ความสามารถของผู้ดูแลหลักในการดูแลผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัด โรงพยาบาลสงขลานครินทร์. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์, 34(2), 53-66. [สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2565]; แหล่งข้อมูล: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/21275/18421

ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). การป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อที่สำคัญ:อัตราป่วยรายใหม่ของโรคความดันโลหิตสูงต่อแสนประชากรในปีงบประมาณ [ออนไลน์]. [สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2565]; แหล่งข้อมูล: https://hdc.moph.go.th/center/public/standard-report-detail/29eec762c9591d1f8092da14c7462361

สมาคมโรคความดันโลหิตสูง. (2562). แนวทางรักษาโรคความดันโลหิตสูง ในเวชปฏิบัติทั่วไป พ.ศ. 2562. [สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2565]; แหล่งข้อมูล: https://www.thaihypertension.org/hypertensiondetail.php?n_id=442

อติพร สำราญบัว และเบญจมาศ ทำเจริญตระกูล. (2564). ผลของการใช้แอปพลิเคชั่นอาหารลดความดันต่อความเชื่อด้านสุขภาพผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก, 32(1), 228-242. [สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2566]; แหล่งข้อมูล: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalthaicvtnurse/article/view/243739/172051

Azadi, N. A., Ziapour, A., Lebni, J. Y., Irandoost, S. F., Abbas, J., & Chaboksavar, F. (2021). The effect of education based on health belief model on promoting preventive behaviors of hypertensive disease in staff of the Iran University of Medical Sciences. Archives of Public Health, 79(1), 69. [cited 2022 October 1]; Available from: https://doi.org/10.1186/s13690-021-00594-4

Jenchitr, W., Ruamviboonsuk, P., Sanmee, A., & Pokawattana, N. (2011). Prevalence of age-related macular degeneration in Thailand. Ophthalmic Epidemiology, 18(1), 48-52. [cited 2022 October 1]; Available from: https://doi.org/10.3109/09286586.2010.545502

Kim, J. E. (2024). Hypertensive Retinopathy [online]. [cited 2024 November 12]; Available from: https://eyewiki.org/Hypertensive_Retinopathy

Liew, G., Xie, J., Nguyen, H., et al. (2023). Hypertensive retinopathy and cardiovascular disease risk: 6 population-based cohorts meta-analysis. International Journal of Cardiology Cardiovascular Risk and Prevention, 17, 200180. [cited 2024 October 12]; Available from: https://doi.org/10.1016/j.ijcrp.2023.200180

Mills, K. T., Stefanescu, A., & He, J. (2020) The global epidemiology of hypertension. Nature Reviews Nephrology, 16(4), 223-237. [cited 2024 October 12]; Available from: https://doi.org/10.1038/s41581-019-0244-2

Rogers, R. W. (1983). Cognitive and physiological processes in fear appeals and attitude change: A revised theory of protection motivation. Social psychology. A source book. New York: Guilford Press. 153-176.

Rosenstock, I. M. (1974). Historical origins of the health belief model. Health Education Monographs, 2(4), 328-335. [cited 2022 October 1]; Available from: https://doi.org/10.1177/109019817400200403

Schuster, A. K. G., Hoh, S., Neubert, K., et al. (2020). Prevalence of hypertensive retinopathy and its risk for mortality – results from the Gutenberg Health Study. Investigative Ophthalmology & Visual Science, 61(7), 1308. [cited 2022 October 1]; Available from: https://iovs.arvojournals.org/article.aspx?articleid=2766988

Mehta, S., & Garg, S. J. (2024). Hypertensive Retinopathy [online]. [cited 2024 November 12]; Available from: https://www.msdmanuals.com/professional/eye-disorders/retinal-disorders/hypertensive-retinopathy

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-06-30

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ